แชร์ไปได้บุญ

วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ไม่รู้อย่ารีบเม้นท์นะ..ขอบอก

    ช่วงนี้ ข่าวคราวที่หนาหูหนาตา ออกมาตามหน้าสื่อต่างๆ ข่าวหนึ่งก็คือเรื่องเกี่ยวกับพระสงฆ์ ข่าวส่วนใหญ่มักจะเป็นข่าวเรื่องความเสื่อมเสีย ความอื้อฉาว ทั้งที่เกิดขึ้นจริงบ้าง จริง 7 เท็จ 3 บ้าง หรือไม่จริงเลยก็ไม่มีใครทราบ นอกจากคนหาข่าว นักเขียน บรรณาธิการข่าว ข่าวที่ร้ายๆ ก็มักจะขายดี เพราะล่อใจประชาชนคนกระหายใคร่รู้
อย่าวิจารณ์พระผิดๆ โดยที่ยังไม่รู้ความจริง ระวังกรรมหนัก!!
     เมื่อข่าวออกมา ก็ไม่วายจะต้องมีคนเข้าไปช่วยกันเขียนคอมเม้นท์บ้าง วิจารณ์ไปต่างๆ นานาๆ ตามความเห็น ความต้องการของตน ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ทราบว่า จริงหรือไม่ หรือบางครั้งสื่อหลายสื่อช่วยกันประโคมข่าวเรื่องเดียวกัน ทำให้คนเกิดความมั่นใจว่า สิ่งที่นำเสนอในเรื่องเดียวกันนั้นเป็นเรื่องจริง ทั้งที่จริงๆ แล้ว เป็นเรื่องจริงบ้างไม่จริงบ้าง บางคนที่มีปัญญา มีข้อมูล ก็คิดว่า สื่ออาจจะรับเงินหรือถูกสั่งจากผู้มีอำนาจหรือไม่? 
เตือนสติชาวพุทธ ควรปฏิบัติกับพระให้เหมาะสม
     ความไม่รู้ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มนุษย์มีการกระทำผิดพลาด ทั้งทางกาย วาจา และใจ และเพราะความไม่รู้นี่เอง ที่ทำให้มนุษย์ต้องได้รับวิบากกรรมที่ไม่อาจจะแก้ตัวได้ว่า “ไม่รู้” คล้ายๆ กับกฎหมายบ้านเมืองที่เราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ก็ย่อมได้รับการคุ้มครอง และได้รับโทษทัณฑ์หากกระทำผิดกฎหมายดังกล่าวเสมอ
   อย่างไรก็ตาม ความผิดในทางกฎหมายบ้านเมือง ก็พอจะแก้ไขหรือรับโทษเฉพาะในชีวิตนี้ ขณะที่ความผิดพลาดอันเกิดจากการกระทำผิดกฎแห่งกรรม จะต้องได้รับผลแห่งการกระทำอีกยาวนานนับล้านปีในทุคติภูมิ เช่น นรก เปรต อสุรกาย หรือสัตว์ดิรัจฉาน ดังนั้น จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องศึกษาและ “รู้” เอาไว้ เพื่อการดำเนินชีวิตจะได้ไม่ผิดพลาด

คำถาม?
    ผลกรรมของผู้ที่จงใจเสนอข่าวบิดเบือนพระพุทธศาสนา ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ใช่ความจริง กับผู้ที่ไม่ได้ตั้งใจบิดเบือนข่าวพระพุทธศาสนา แต่ทำไปเพราะเข้าใจผิดจริงๆ แต่มีผลสร้างความเสียหายให้พระพุทธศาสนาเหมือนกัน ทั้งสองประเภทนี้จะได้รับวิบากกรรมหนักเบาต่างกันอย่างไร?
     ในกรณีถ้าพระทำผิดจริงๆ ควรนำเสนอข่าวอย่างไร จึงจะเหมาะสมและถูกต้อง การที่นักข่าวไปทำข่าวแบบนี้เผยแพร่ออกไป จะได้รับวิบากกรรมหรือไม่อย่างไร

คำตอบ
     ผู้ที่จงใจเสนอข่าวบิดเบือนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่เป็นความจริงกับผู้ที่ไม่ได้ตั้งใจบิดเบือนข่าวทำไปเพราะเข้าใจผิดจริงๆ แต่ก็มีผลสร้างความเสียหายให้กับพระพุทธศาสนาเหมือนกัน 
      ทั้งสองประเภทนี้จะได้รับวิบากต่างกัน คือพวกแรกจะหนักกว่า เพราะมีอกุศลเจตนาอย่างแรงกล้า ซึ่งจะมีวิบากกรรมให้ไปมหานรกขุม ๔ จะถูกนายนิรยบาลจับบิดตัวถลกหนังออก แล้วเอาปากกาเหล็กร้อนเขียนไปบนเนื้อ แล้วถูกทิ่มแทงด้วยอุปกรณ์การเขียนที่เป็นเหล็กร้อน หรือฝนตัวอักษรที่เคยบิดเบือนเอาไว้ตกใส่ ทุกข์ทรมานมาก เป็นต้น
เปรตขนเป็นหอกเป็นดาบ
     ส่วนที่เสนอข่าวเพราะเข้าใจผิด ก็จะมีวิบากกรรมน้อยลงมาหน่อยหนึ่ง เช่น ลงไปแค่ยมโลก ของมหานรกขุม ๔ ซึ่งจะถูกเจ้าหน้าที่ลงทัณฑ์ทรมานคล้ายพวกแรกที่อยู่ในมหานรกขุม ๔ แต่ว่าเบาบางกว่ากัน

     ในกรณีที่พระทำผิดจริง สิ่งที่ควรทำคือ ไม่เสนอข่าวในที่สาธารณชน แต่ให้ทางคณะสงฆ์ซึ่งมีสายการปกครองโดยกฎหมายและพระธรรมวินัยอยู่แล้ว ได้ดำเนินเรื่องแก้ไขกันไปตามความถูกผิดและเหมาะควรเพราะการนำเสนอเรื่องพระสงฆ์นั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่จะสั่นคลอนความศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้
เปรตคอแขนบิดเบี้ยว
     อีกทั้งศาสนาก็เป็นหนึ่งในสถาบันหลักของประเทศ การที่นักข่าวไปทำข่าวเหล่านี้เผยแพร่ออกไป จะได้รับวิบากกรรมตามกำลังแห่งเจตนา เช่น แม้เป็นจริงและเขียนไปตามความเป็นจริง ก็จะมีผลไปสั่นคลอนศรัทธาของพุทธศาสนิกชนส่วนรวม
ตื่นเถิดชาวพุทธ หยุดทำร้ายพระเรื่องเงินทอน
     ผู้ที่ทำข่าวดังนี้ จะมีวิบากกรรม คือชาติต่อไปก็จะมีคนคอยจับผิด แม้ผิดเล็กน้อยก็ดูเหมือนมาก จะถูกตำหนิติเตียน และปัจจุบัน ใจก็จะเศร้าหมองไปอบายได้
    ส่วนที่ข่าวจริงมีนิดเดียว แต่ไปเขียนขยายความจนทำให้เกิดการเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนานั้น ก็จะมีวิบากมากกว่า
เราชาวพุทธ ต้องช่วยกันยอยกพระพุทธศาสนา
    ดังนั้นหากเราไม่รู้จริง อย่าเพิ่งใช้ปากหรือนิ้วของเรา คีย์หรือกดเพื่อแสดงความเห็นผิดๆ เกี่ยวกับพระ เพราะสิ่งนี้เป็นอันตรายที่เราอาจจะคาดไม่ถึง...แล้วจะหาว่าไม่เตือนไม่ได้นะ 

    ติดตามบทความต่อไป ตอนหน้าจะนำเสนอเรื่องผลกรรมของผู้ที่ด่าว่าพระสงฆ์ 

ที่มา: หนังสือ “ที่นี่มีคำตอบ” โดยคุณครูไม่ใหญ่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๙
: เปรต ผุู้ทนทรมานจากผลของบาป 

วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

วันวิสาขบูชา วันสำคัญของชาวพุทธทั่วโลก!!

     วันวิสาขบูชา หรือ “Vesak Day” เป็นวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลของโลก โดยเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2542 ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 54 ได้พิจารณาระเบียบวาระที่ 174 International recognition of the Day of Vesak ระบุว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดศาสนาหนึ่งของโลก ที่ได้หล่อหลอมจิตวิญญาณของมนุษยชาติมานาน ควรที่จะยกย่องกันทั่วโลก เรียกกันว่า “Vesak Day” บางที่ใช้ว่า Wesak Day  (อ่านว่า วีสัคเดย์ เหมือนกัน) อ่านเพิ่มเติม 
วันวิสาขบูชา วันสำคัญสากลของโลก

   ชาวพุทธทั่วโลกทุกนิกาย ต่างรอคอยวันเวลาที่จะได้เฉลิมฉลองวันวิสาขบูชา  ซึ่งตรงกับวันเพ็ญ เดือน 6 หรือวิสาขมาส เพราะ 
ประวัติวันวิสาขบูชา
  1. ไม่ใช่เรื่องง่ายที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงบังเกิดขึ้น หลังจากที่ทรงบำเพ็ญบารมีมายาวนานอย่างน้อย 20 อสงไขยกับแสนมหากัป โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน (ศึกษาเพิ่มเติม พระพุทธเจ้า 3 ประเภท)
ความสำคัญของวันวิสาขบูชา : เป็นวันประสูติ
2.ยิ่งเมื่อพระองค์ทำความเพียรเพื่อจะตรัสรู้ มารและเสนามารก็มาขัดขวาง ทวงบัลลังก์ที่พระองค์นั่งใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ แต่พระองค์ก็ได้ระลึกถึงบุญบารมีที่ได้สร้างมายาวนานหลายอสงไขยนั้นให้มารวมกัน จนมารพ่ายไปเพราะคุณธรรมความดี บุญบารมีของพระองค์ จนได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า 
ความสำคัญของวันวิสาขบูชา : เป็นวันตรัสรู้
3. แม้เมื่อพระองค์จะปรินิพพาน ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาท “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนเธอทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังสัมมาปฏิบัติให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท” 
ความสำคัญของวันวิสาขบูชา : เป็นวันปรินิพพาน

   นอกจากในประเทศไทยแล้ว ยังมีการจัดเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชากันในหลายๆ ประเทศทั่วโลก บางแห่งจัดงาน “สัปดาห์วิสาขบูชา” เช่น จัดนิทรรศการเกี่ยวกับการบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า ประวัติ ความสำคัญ รวมถึงการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น สวดมนต์-ปฏิบัติธรรมเจริญภาวนา เพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่งผลให้จิตใจสงบร่มเย็น ได้น้อมนำธรรมของพระพุทธองค์ไปปฏิบัติตาม เกิดสันติสุขไปทั่วโลกอย่างแท้จริง

ตัวอย่างของการจัดงานวิสาขบูชาโลก

1. สัมมนาครั้งที่ 15 วันวิสาขบูชาของสหประชาชาติ 25-27 พฤษภาคม 2561 
โดยวันที่ 25-26 พ.ค. จัดสัมมนาที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วังน้อย อยุธยา

วันที่ 27 พ.ค. จัดงานเฉลิมฉลองที่ศูนย์ประชุมแห่งสหประชาชาติ ถ.ราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ
เครดิตภาพจาก https://www.vesak.org/

สัมมนาครั้งที่ 15 วันวิสาขบูชาของสหประชาชาติ
United Nations Day of Vesak (UNDV)

การเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชาของสหประชาชาติครั้งที่ 15 วันที่ 27 พฤษภาคม 2561




2.การประชุมนานาชาติในสันติภาพและความเท่าเทียมกันในโอกาสมงคลของวัน vesak, nagpur, อินเดีย 19-20 พฤษภาคม 2561 https://thebuddhistcentre.com/tags/wesak




Vesak , Nagpur , India , 19-20 May 2018

3. Internation Buddha’s Day, New Taipei , Taiwan , 4-6 May 2018
(วันพระพุทธเจ้าสากล ที่นิวไทเป ประเทศไต้หวัน 4-6 พฤษภาคม 2561)






 Internation Buddha’s Day, New Taipei , Taiwan , 4-6 May 2018
4. Vesak: Buddha's Birthday Celebration 2018, Mississauga Celebration Square, Ontario, Canada.
วันวิสาขบูชา: เฉลิมฉลองวันประสูติพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ Mississauga Celebration Square ประเทศแคนาดา https://www.vesakcelebration.com/
Vesak: Buddha's Birthday Celebration 2018, Mississauga Celebration Square, Ontario, Canada.
   เราในฐานะของพุทธศาสนิกชน เป็นลูกของพระพุทธเจ้า สามารถประกอบบุญกุศลเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระองค์ ด้วยการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา จุดประทีปเวียนเทียน เป็นต้น

  ที่ง่ายที่สุดคือ การหมั่นเจริญพุทธานุสสติ นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ถือเป็นการบำเพ็ญภาวนาที่สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลาอีกด้วย
(คลิกที่ปุ่มสามเหลี่ยมเพื่อเล่นวีดีโอ)
เครดิตวีดีโอจาก https://www.youtube.com/watch?v=8eu1qOcYh9g
    ขอให้ทุกท่านมีความสุขในวันวิสาขบูชา วันพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิด-พูด-ทำแต่สิ่งที่ดี มีจิตเมตตา ดำเนินรอยตามคำสั่งสอนของพระองค์

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ทำไม...ต้องพระพุทธศาสนา?

ชีวิตผู้คน ณ ปัจจุบันนี้ มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตทุกด้าน  วิถีผู้คนดูจะมุ่งไปที่การได้ใช้ชีวิตกับการบริโภคความเพลิดเพลินหลากหลายรูปแบบ  ซึ่งทำให้ผู้คนห่างเหินจากการดำรงชีวิตอยู่ด้วยสัมปชัญญะบนความจริงของชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น

   นำไปสู่คำถามที่ว่า วันนี้สภาพผู้คนและสังคมที่เปลี่ยนไป พระพุทธศาสนาหรือพุทธธรรมยังคงมีความสำคัญต่อชีวิตต่อมนุษย์มากน้อยอย่างไร?

   ทีมงานได้โอกาสสนทนากับ พระอาจารย์จุมพล ปุญฺญพโล,  พระอาจารย์กรุณาพูดคุยถึงประเด็นดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้ค่ะ

    คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความสำคัญกับชีวิตของมนุษย์อย่างแน่นอน   เหมือนสิ่งอื่นๆ ที่มีความสำคัญกับชีวิตของเรา เช่น สรรพสิ่งในโลกนี้ดำรงชีวิตอยู่ได้ เพราะอาศัยพลังงานจากพระอาทิตย์ซึ่งเป็นพลังงานสำคัญ  เราขาดดวงอาทิตย์ไม่ได้

   ทุกสิ่งทุกอย่างมีความสำคัญในตัวของมันอยู่แล้ว  เพียงแต่เราต้องเข้าใจว่าสิ่งนั้นให้ประโยชน์กับเราอย่างไร มันอยู่ที่มุมมองของคนที่มีต่อสิ่งนั้นเห็นคุณค่า หรือ เห็นความสำคัญของสิ่งนั้นหรือไม่

   พระพุทธศาสนา  โดยจุดกำเนิดนั้น เป็นจุดที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในตัวอยู่แล้ว เพราะจุดตั้งต้นมาจากการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมองความจริงของชีวิตออกว่า ชีวิตทุกชีวิตเกิดมาพร้อมกับความทุกข์ แล้วพระองค์ก็หาวิธีแก้  คือดับ,  ดับ คือ มีอยู่ 100 แล้วทำให้หายไปกลายเป็นศูนย์ เหมือนไฟที่ดับด้วยน้ำ
     ด้วยจุดกำเนิดของพระพุทธศาสนาที่เริ่มจาก“ปัญหาความทุกข์อันเป็นพื้นฐานของชีวิตมนุษย์” 
พระพุทธศาสนาจึงมีความสำคัญกับชีวิตมนุษย์ เพราะสามารถตอบโจทย์ในชีวิตของมนุษย์ได้

    เพราะไม่ว่าเราจะเกิดในยุคไหนก็แล้วแต่อดีต ปัจจุบัน หรือ อนาคต ปัญหาทุกข์ทั้งหลายก็ยังคงติดตัวมนุษย์ไปอยู่ตลอดเวลา  

    เมื่อทุกคนมีความทุกข์  คำถามคือ "คุณอยากมีความสุขไหม?"

     เราอาจจะยังไม่สามารถดับทุกข์ให้หายไปเลยเหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทั้งหลายได้ทำได้แล้ว  แต่อย่างน้อยคือ ทุกข์ลดลง คุณต้องการไหม? ถ้าคุณต้องการ พระพุทธศาสนา คือ คำตอบ

แต่ ณ โลกปัจจุบัน หลายคนอาจเกิดข้อสงสัยว่า จริงหรือ ?  เพราะหลายคนก็คิดว่าทุกวันนี้ก็มีกินมีใช้...สบายดี แต่นั่นเป็นความสบายในแบบที่ยังมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่จะมาแก้ไขปัญญาของตัวเองจริงๆ

เพราะปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มองไม่ออกว่าชีวิตเป็นทุกข์อย่างไร  การที่จะมองให้เห็นถึงคุณค่าและความสำคัญ จึงน้อยลง หรือหลายคนเห็นแต่ก็อาจไม่เข้าใจและไม่รู้ว่า "หลักการและวิธีการที่ดีที่จะแก้ไขปัญหา" อยู่ตรงไหน?  ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องการการเรียนรู้
  ทำนองเดียวกันกับที่เราเรียนรู้ ความรู้ทักษะ ในการทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ โดยมีระบบการศึกษาช่วยให้เราได้รู้ว่า เราชอบเรียนอะไรสายไหน อยากเป็นอะไร และเพื่อให้ได้ทำงานที่เราชอบ เราจะต้องเรียนอะไร รู้อะไร คือเป็นความรู้ที่ช่วยให้คนเรามีความเข้าใจในชีวิตของตัวเองมากขึ้น

  เมื่อกล่าวถึงความทุกข์ในทางพระพุทธศาสนา หลายคนก็มักจะคิดถึงทุกข์ก้อนใหญ่ๆ จึงจะเรียกว่าทุกข์ เช่น ต้องเจ็บหนักเข้าโรงพยาบาล  หรือถ้าเป็นความตายก็ต้องใกล้หมดลมหายใจ  ส่วนใหญ่มักจะคิดว่าต้องระดับนี้จึงเรียกว่า ทุกข์  

    เมื่ออะไรที่มันไม่ใหญ่ระดับแขนขาหัก สูญเสียคนรักของรัก หรือนอนป่วยที่โรงพยาบาล ก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ใช่ทุกข์  และเข้าใจว่า ที่เป็นอยู่นั้นเป็นความสุขแล้ว  ทั้งนี้เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นแบบปุ๊ปปั๊ปๆเพลินบ้าง เพลียบ้าง สลับกลับไปกลับมา ผู้คนก็คิดว่าเป็นความสุข แต่มันไม่ใช่สุขจริงๆ

    ความทุกข์ ในนัยยะของพระพุทธศาสนา หมายถึง ตั้งแต่ระดับเล็กไปถึงระดับใหญ่  เช่น เรานั่งกับพื้นสัก 30 นาที เราก็เริ่มปวดขา เราก็ต้องเปลี่ยนท่า อาการปวดก็หายไป อีกสักพักอาการปวดเมื่อยก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาทีละนิดๆ อีก  กระทั่งเราทนไม่ไหว เราก็ต้องเปลี่ยนท่าอีก หรือเราหิว เราก็หาข้าว หาน้ำ หาอาหารกิน ได้กินอิ่มก็ดับทุกข์ไปชั่วคราว แต่เดี๋ยวก็หิวอีกแล้ว ก็ต้องหาอะไรกินอีกแล้ว และก็หิวกันตลอดชีวิตรักษาไม่หาย ต้องกินยาไปตลอดชีวิต คือ อาหารที่คนเรากินอยู่ทุกวัน  พระท่านจึงกล่าวว่าความหิวเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

  แต่เราจะมองออกว่าเป็นทุกข์ ก็เมื่อพบว่า มีอาการผิดปกติของร่างกาย เกิดโรคอันเนื่องมาจากอาหารที่กินเข้าไป  ถึงตรงนี้ต้องกินยา จริงๆ ก็เริ่มไม่มีความสุขกับการกินแล้ว  เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้คือ ความเป็นทุกข์

   ด้วยลักษณะดังกล่าว ก็มักจะเป็นเรื่องปกติที่เรามักจะเห็นว่า คนโดยทั่วไปเมื่อตอนที่สุขภาพแข็งแรง มีทรัพย์ สุขสบายดี จะไม่ค่อยใส่ใจเรื่องทำบุญทำกุศลหรือเข้าวัด ปฏิบัติธรรม แต่เมื่อคราวเจอมรสุมชีวิตไม่ว่าจะเป็นด้านใด ก็จะนึกถึงวัดนึกถึงพระพุทธเจ้า ก็ตอนนี้ 

  สิ่งนี้ทำให้เราได้เห็นว่า การที่ผู้คนจะเห็นความสำคัญและคุณค่าของพระพุทธศาสนานั้น  ก็ต่อเมื่อเขาถูกดันให้ไปถึงจุดที่เขาเห็นชัดด้วยตัวเองว่า... ชีวิตเขาทุกข์แล้วนะ… และสิ่งที่จะตอบโจทย์ช่วยเคลียร์ทุกข์ออกไปได้ในแต่ละระดับ จาก 100 ไป 0 กระทั่งถึงหมดทุกข์อย่างถาวรได้คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น คำตอบจึงชัดเจนและตรงไปตรงมาว่าพระพุทธศาสนาหรือพุทธธรรม มีคุณค่าในตัวเองในระดับที่สามารถเคลียร์ปัญหาในชีวิตให้กับมนุษย์ทั้งโลกได้  เพียงแค่ว่า ผู้คนจะตระหนักในระดับไหน? แต่บางครั้งหลายคนอาจคิดว่า อย่างอื่นก็ตอบโจทย์ได้  ?

   หากคิดอย่างนั้น นั่นแปลว่าการตีโจทย์ชีวิตยังเป็นการมองในระยะสั้นๆ เพราะการมองชีวิตในระดับที่รู้ว่า พุทธธรรมคือคำตอบนั้น เป็นการมองด้วยวิสัยทัศน์ที่ไกล ในระดับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า “สัมมาทิฏฐิ”  คือต้องมีความเข้าใจในเรื่องโลกและชีวิตถูกต้องตามความเป็นจริง

   ยกตัวอย่าง  คนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมทำบุญทำทาน  ซึ่งหลายคนอาจมองว่า มันเป็นเรื่องที่ไม่สนุกสนาน  ทำไมไม่ใช้เงินที่มีและเวลาในชีวิตกับการกินเที่ยว พักผ่อน ฯลฯ 

นั่นเพราะคนที่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติธรรมหรือการทำบุญ  เขามองออกว่า ชีวิตที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้  แม้อยู่ดีมีสุข แต่เป็นความสุขเพียงชั่วคราว เมื่อมองไปในอนาคตคือ มองไปในระดับภพชาติ มองต่อไปว่า หลังจากนี้เขาจะไปเจออะไร เพราะฉะนั้นเขาจะมองออกว่า ความสุข ทรัพย์ ที่เขามีอยู่ ณ ปัจจุบันนี้เป็นสิ่งชั่วคราว เป็นของเฉพาะหน้าเท่านั้น   แต่สิ่งที่กำลังไล่มากับเวลา หรือที่กำลังผลักเขาไปสู่ความตาย และผลักเขาไปสู่อะไรที่เขาไม่รู้ นั่นเป็นสิ่งที่ต้องคิดและเตรียมตัวให้พร้อม

นี้คือ โจทย์ที่ต้องแก้ และต้องแก้ให้ตลอดเส้นทาง  และคำตอบที่จะช่วยแก้โจทย์เมื่อศึกษาดูแล้วในโลก คำตอบนั้นมีอยู่ในพระพุทธศาสนา
... ... ...
เชื่อว่าหลายคนที่มีคำถามในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องใด วันนี้เราได้คำตอบชัดเจนแล้วว่า ทั้งหมดนั้นมีคำตอบในพุทธธรรม จากนี้ไป ขึ้นอยู่กับว่า เราจะคว้าเอาแสงสว่างนั้นมาส่องทางชีวิตของเราหรือไม่
 

กราบขอบพระคุณ : พระอาจารย์จุมพล ปุญฺญพโล
ขอบคุณภาพประกอบจาก : www.pixabay.com, http://updatetoday.in.th, http://www.kalyanamitra.org

 เรียบเรียงโดย OOJAO
www.winnews.tv

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ควรหรือไม่ จะตัดสินได้อย่างไร?

     เรื่องที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในช่วงนี้สำหรับผู้ที่เป็นคอการ์ตูน หรือคอภาพยนตร์คงไม่พ้นเรื่อง Avengers 3 : Infinity War (2018) (อเวนเจอร์: มหาสงครามล้างโลก) ซึ่งมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของผู้ชมเป็นอย่างมาก 
ภาพยนตร์เรื่อง Avenger 3 : Infinity War (2018)
ขอบคุณภาพจาก http://newstoro.com/4047-2/
      ถึงกับมีข่าวเรื่องการนำตัวละครของฝ่ายมารที่ชื่อธานอส และฮัลค์ ซึ่งเป็นตัวละครในภาพยนตร์ในเรื่องอเวนเจอร์ รวมถึงภาพของจอมมารบู ตัวละครการ์ตูนในเรื่องดราก้อนบอลล์ และหน้ากากหวีดสยอง จากภาพยนตร์สครีม(หวีดสุดขีด) มารวมวาดเป็นพลพรรคฝ่ายมาร ลงไปเป็นส่วนหนึ่งของภาพจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งเป็นเรื่องพุทธประวัติ ตอนตรัสรู้ ซึ่งพระพุทธองค์กำลังผจญมาร 
ภาพข่าว
ขอบคุณภาพจาก https://www.matichon.co.th/news/945330

   มีข้อสงสัยว่า การนำภาพตัวละครในการ์ตูนหรือหนังมาทำเป็นจิตรกรรมฝาผนังในวัด โดยเฉพาะในภาพพุทธประวัติ เป็นสิ่งที่สมควรหรือไม่? เราจะตัดสินอย่างไร?

   เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ภาพจิตรกรรมฝาผนังมีความเป็นมา และสำคัญอย่างไร

   จิตรกรรม (อังกฤษ: painting) เป็นงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการวาด ระบายสี และการจัดองค์ประกอบความงามอื่น เพื่อให้เกิดภาพ 2 มิติ ไม่มีความลึกหรือนูนหนา
        จิตรกรรมไทย เป็นวิจิตรศิลป์อย่างหนึ่ง สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ มีคุณค่าทางศิลปะและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้า มีเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรมการแต่งกาย ตลอดจนการแสดงการเล่นพื้นเมืองต่าง ๆ ของแต่ละยุคสมัยและสาระอื่น ๆ ที่ประกอบกันเป็นภาพจิตรกรรมไทย (วิกิพีเดีย)
จิตรกรรมฝาผังในพระอุโบสถวัดโพธิ์ชัย (วัดหลวงพ่อพระใส) จ.หนองคาย
ขอบคุณภาพจาก https://pantip.com/topic/32320489
    พระพุทธศาสนา เป็นโครงสร้างที่สำคัญในสังคมไทย โดยมีวัดเป็นศาสนสถาน เป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เป็นศูนย์รวมในการพบปะ เป็นศูนย์กลางในด้านศาสนา งานประเพณีต่างๆ รวมทั้งการศึกษาเบื้องต้นของเด็กไทย ดังนั้นงานจิตรกรรมจึงเป็นสื่อของการบันทึกเรื่องราวต่างๆ ให้แก่สังคม แทนการสอนด้วยวาจา มีผลต่อการกล่อมเกลาจิตใจของเด็กและผู้ที่เข้ามาชม 

   เราจะพบเห็นจิตรกรรม หรือภาพเขียนฝาผนังที่อยู่ในโบสถ์และวิหาร มักจะแสดงเรื่องราวที่น่าสนใจเล่าเป็นเรื่อง เป็นตอน ๆ  โดยเฉพาะพุทธประวัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และนิทานชาดก ซึ่งเป็นเรื่องราวในสมัยที่พระพุทธองค์ทรงเสวยชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ภาพจิตรกรรมเช่นนี้ ก่อให้เกิดความเข้าใจ เกิดความกระหายใคร่รู้แก่ผู้ชม ทำให้อยากศึกษาค้นคว้าประวัติความเป็นมาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ส่งผลให้ได้เพิ่มพูนคุณธรรมความดี ผ่านคำสอนของพระองค์ นับเป็นคุณค่าในการศึกษาเรื่องราวทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ วัดสุวรรณาราม บางกอกน้อย 
เป็นภาพในเรื่องพระเวสสันดรชาดก ตอนชูชกกำลังเข้าเฝ้าพระเวสสันดร 
เพื่อทูลขอพระราชบุตร-พระราชธิดา นำมาเป็นคนใช้ของนางอมิตตดา 
ขอบคุณภาพจาก http://topicstock.pantip.com/camera/topicstock/2006/04/O4266842/O4266842.html
      ดังนั้น การคัดสรรสิ่งต่างๆ เพื่อนำมาอยู่ในตัวโบสถ์หรือในวัด จึงควรเป็นสิ่งที่ควรแก่การสักการะ เทิดทูนไว้ เพราะเป็นแหล่งของพระรัตนตรัย 

บทวิเคราะห์ "ควรหรือไม่ ที่จะนำเอาภาพตัวละครในการ์ตูนหรือภาพยนตร์มารวมกับพุทธประวัติ"

     ธานอส ฮัลค์ จอมมารบู และหน้ากากหวีดสยอง เป็นตัวละครที่ถูกสมมติขึ้นมา เกิดจากจินตนาการของผู้เขียน เป็นเรื่องที่ไม่จริง

    แต่สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงผจญมารในสมัยที่ตรัสรู้ เป็นเรื่องจริง 

     ถามถึงความเหมาะสมว่า เหมาะสมหรือไม่ที่นำเอาเรื่องไม่จริง หรือเรื่องเล่นๆ มาใส่ในเรื่องจริง 

    การเอาเรื่องเล่น มาใส่ในเรื่องจริง วันข้างหน้า ก็กลายเป็นเรื่องเล่นหมด

    ในพระวินัยปิฎก เล่ม 5 มหาวรรค ภาค 2 หน้า 161 ได้กล่าวถึงวัตถุเป็นกัปปิยะและอกัปปิยะไว้ว่า 

      พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสประทานสำหรับอ้าง 4 ข้อ ดังต่อไปนี้ :-
      1. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร 
หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย.
      2. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร
หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย.
      3. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร
หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย.
      4. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร
หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย. 

    ดังนั้นหลักในการวินิจฉัย พิจารณา วิเคราะห์ว่าภาพนี้ถูกหรือผิด มีตามพระวินัย พระพุทธานุญาตมหาประเทศ 4 ซึ่งเป็นหลักในการพิจารณาสิ่งที่ควรกับสิ่งที่ไม่ควรว่า มีหลักตัดสินดังนี้

1.เอาเรื่องควร ไปเข้ากับเรื่องไม่ควร ก็เป็นเรื่องไม่ควร 
2. เอาเรื่องไม่ควร ไปเข้ากับเรื่องที่ควร ก็เป็นเรื่องไม่ควร
3. เอาเรื่องไม่ควร ไปเข้ากับเรื่องไม่ควร ก็ไม่ควร
4. ต้องเอาเรื่องควร เข้ากับเรื่องควร จึงจะควร
หลักในการพิจารณาความควรหรือไม่ควร
     การเอาเรื่องราวพุทธประวัติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องนำมาซึ่งความยั่งยืนของพระพุทธศาสนา เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา เรื่องราวที่เกิดนั้นยาวนานอยู่แล้ว เป็นเรื่องราวที่ประกอบไปด้วยอิทธิปาฏิหาริย์มากมาย ซึ่งคนที่พยายามไม่เข้าใจและไม่ลึกซึ้งกับศาสนา ก็จะมองเป็นเรื่องราวที่พร้อมจะไม่ศรัทธาอยู่แล้ว การนำเอาเรื่องที่เป็นละคร ภาพยนตร์ เรื่องล้อเล่นไปใส่รวมกันไว้ คนในยุคนี้ คนที่เกิดในพ.ศ.นี้ คนที่ยังทันก็จะเข้าใจว่า เป็นแค่อารมณ์ศิลปิน ล้อเล่น แต่เมื่อผ่านยุคผ่านสมัยไประยะหนึ่ง จากเรื่องเล่น ก็จะไม่เล่น ก็จะกลายเป็นว่า ทั้งหมดที่อยู่บนผนังเป็นเรื่องเล่นทั้งหมด เป็นเรื่องล้อเล่นไปทั้งหมด ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาขึ้นมาได้ 

    ฉะนั้นการนำภาพที่เป็นของสูง จึงไม่ควรเอาไปเกลือกกลั้วกับความไม่จริง ความเป็นเท็จ การล้อเล่น ก็จะเข้ากับหลักที่พระพุทธองค์ให้ไว้ว่า 


ของที่ควร ควรค่ากับของที่ควร 
และเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา ทำให้ศาสนายืนยง 


-La Paz-

ที่มา: พระไตรปิฎก มมก.เล่ม 7 หน้า 161
https://www.beartai.com/lifestyle/167295
https://th.wikipedia.org
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=13&chap=4&page=t13-4-infodetail02.html
http://www.thailandsworld.com/th/thailand-thai-art/thai-mural-painting/index.cfm

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

มาทำชีวิตให้ดีขึ้น ด้วยความคิดพัฒนาอย่างชาวญี่ปุ่นกันเถอะ


     หลายคนพูดว่า ศักยภาพของคนเรามีไม่จำกัด ผู้เขียนก็เห็นด้วยกับคำพูดนั้น แต่ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเมื่อมีโอกาสได้ไปประเทศญี่ปุ่น 

   คนอะไร แคร์ประชาชนแม้กระทั่งก้น..
ห้องน้ำในปาร์ค หรือที่พักระหว่างทางไปภูเขาไฟฟูจิ

     ลองไปดูห้องน้ำของเขากันค่ะ แล้วเราจะรู้ว่า.. เค้าห่วงใยผู้บริโภคจริงๆ นะ 

     เราไปช่วงปลายเมษายน อากาศไม่หนาวเท่าไร แต่เข้าห้องน้ำทุกห้องในทุกที่ ฝารองนั่งอุ่นร้อนพร้อมต้อนรับแขกทุกท่าน ถ้าอากาศหนาวๆ คงจะฟินกว่านี้อีก

     ทางด้านขวามือ จะมีปุ่มกดอยู่หลายปุ่ม มีทั้งแบบติดฝาผนัง และเป็นแขนยื่นออกมา เป็นส่วนหนึ่งของฝาชักโครก


     ที่น่าสนใจมากกว่าจำนวนของปุ่มคือ คุณสมบัติของปุ่มนั้นๆ มากกว่า ที่ผ่านมาก็คิดว่า คุ้นเคยมาพอสมควรกับปุ่มฉีดน้ำล้างก้น ซึ่งจะมีรูปก้นเป็นสัญลักษณ์ และปุ่มชำระล้างสำหรับสตรี ซึ่งมีรูปผู้หญิงเป็นสัญลักษณ์

     แต่ปุ่มที่ว่าพิเศษ ที่เริ่มเห็นในหลายๆที่คือ ปุ่มโน้ตดนตรี แรกๆ ก็ไม่กล้ากด เพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ความอยากรู้เหนืออื่นใดก็ลองกดเสียหน่อย มันคือ..เสียงชักโครกปลอม เพื่อให้คนที่มาใช้ห้องน้ำ ทั้งในห้องและข้างๆห้องรู้สึกสบายใจทั้งสองฝ่าย เพราะเอาไว้กลบเสียงทำภารกิจนั่นเอง แหม...ช่างละเอียดอ่อน ละเมียดละไมเสียเหลือเกิน
ที่นั่งในห้องน้ำของเด็กเล็กที่มากับคุณแม่

ห้องน้ำหลายห้องเลยที่จะมีเก้าอี้พับได้ติดฝาผนังไว้ให้กับเด็กเล็กๆ ที่มากับคุณแม่ ได้นั่งรอในห้องเดียวกับคุณแม่ด้วย
เก้าอี้นั่งของเด็ก พับเก็บได้

     และที่ขาดไม่ได้ คือ ห้องน้ำของเด็กที่พอช่วยตัวเองได้ กระจิ๋วริ๋ว น่ารักน่าเอ็นดูมาก
ชักโครกของเด็ก

โถปัสสาวะของเด็กชาย และอ่างล้างมือน้อยๆ 
     และหลายๆ ที่ โดยเฉพาะห้องน้ำตามปาร์คที่พักระหว่างการเดินทาง จะมีมุมของห้องแต่งตัวให้ ชนิดที่มีเก้าอี้บริการกันเลย 

     บางแห่งไม่มีโถแยกสำหรับเด็กอย่างนี้ ก็จะมีฝาครอบชักโครกของเด็กแขวนเอาไว้ให้ ให้เอามาสวมกับฝาชักโครกของผู้ใหญ่ เด็กจะได้ไม่ตกลงไปในโถส้วมไงล่ะคะ

     ดูๆ แล้ว มันช่างน่าทึ่งจริงๆ กับความคิดของนักพัฒนาและผลิตภัณฑ์ที่คนญี่ปุ่นทำขึ้นมา เพราะความห่วงใยต่อประชาชน ผู้บริโภค

     บางแห่ง ก็พยายามทำให้เรียบง่ายทันสมัย คล้ายกับขึ้นเครื่องบิน อย่างในภาพนี้ อุปกรณ์ ของใช้ ถังขยะ และราวจับ ทุกอย่างอยู่บนผนังด้านซ้ายทั้งหมด เออเนอะ..ช่างคิดแท้

ของใช้ทีอยู่ติดกับผนังห้องน้ำสาธารณะ ราวกับอยู่ในห้องน้ำเครื่องบิน

     เพราะเห็นของที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้อย่างนี้ ทำให้คิดเลยเถิดไปว่า ทำไมถึงทำออกมาอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่ความเป็นนักคิด นักพัฒนาแล้ว เชื่อได้เลยว่า เป็นไปได้ยากมาก เรียกว่า "เห็นของทำให้เห็นความคิดของเขา" เลยแล้วกัน

     แม้จะทันสมัย เป็นวัยรุ่นทางความคิดกันขนาดไหน ห้องน้ำแบบนั่งยอง หรือคอห่าน ก็ยังมีอยู่แทบทุกที่ ซึ่งมีผู้รู้ท่านอธิบายไว้ว่า การนั่งยองๆ ทำให้เส้นท้องเส้นขาไม่ตึง ท้องจะไม่ผูก เพราะเวลานั่งยองๆ กล้ามเนื้อต้นขาแนบไปกับหน้าท้อง เป็นการกดนวดลำไส้ ใครท้องผูกบ่อยๆ ให้ลงไปนั่งขัดห้องน้ำห้องส้วมบ่อยๆ แล้วโรคท้องผูกจะหายเป็นปลิดทิ้ง คนญี่ปุ่นก็คำนึงถึงสุขภาพของประชาชนของเขา ก็เลยยังอนุรักษ์ห้องน้ำแบบนั่งยองเอาไว้ให้ ช่วยได้จริงๆ นะ
ห้องน้ำแบบนั่งยอง เวลานั่ง หันหน้าไปทางคอห่าน กลับทิศกับคอห่านบ้านเรา
ขอบคุณภาพจาก http://www.nakamura-syoukai.com/archives/category/reform/page/4

นี่แค่ห้องน้ำนะ ยังทำไปได้ขนาดนี้ อย่างอื่นๆ ในประเทศของเขาก็ไม่แพ้กัน

     มาดูร้านขายแปรงที่โตเกียวกันบ้าง ไปศาลเจ้า Asakusa มา เห็นมีร้านขายแปรงอย่างน้อยสองร้าน

    แค่เห็นก็รู้สึกทึ่งอีกแล้ว ในใจคิดว่า All about brush คือ อะไรๆ ก็แปรงทั้งหมดในร้านนี้
ร้านขายแปรงที่ศาลเจ้า Asakusa โตเกียว
ร้านนี้มีแต่แปรง
    มีตั้งแต่แปรงขัดกระทะ ขัดพื้น ขัดเท้า ขัดหลัง แปรงผม แปรงสีฟัน แปรงเสื้อผ้าที่เป็นขน บรัชออน ทาแก้ม ทาปาก ทาคิ้ว จิปาถะมากมาย อะไรก็ตามที่เป็นขน เป็นพู่กัน ก็ขายหมดนะ

    แม้แต่.. ที่ห้อยโทรศัพท์รูปแปรง
ที่ห้อยโทรศัพท์รูปแปรง
ขอบคุณภาพจาก
http://denbouin-dori.com/archives/40
https://www.enjoytokyo.jp/shopping/spot/l_00043664/

    เห็นความเป็นคนช่างคิด ช่างจัดระเบียบของคนญี่ปุ่นแล้ว ต้องยกนิ้วให้จริงๆ ช่างละเอียดลออเสียนี่กระไร

ภูเขาไฟฟูจิ หรือฟูจิซัง

    ร้านขายของที่ระลึกริมทะเลสาบรอบภูเขาไฟฟูจิ ก็มี All about Mt.fuji มาขาย ทำให้คิดไปไกลว่า กว่าจะได้ของแต่ละชิ้นมา เค้าก็คงนั่งคิดว่า จะทำอย่างไรกับของสิ่งนั้นเพื่อให้เป็นฟูจิได้บ้าง แล้วก็ผลิตออกมาเรื่อยๆ 



ขอบคุณภาพจาก http://osanpowanko.hatenablog.com/entry/19_yamanashi_12


    เชื่อไหมว่า ระหว่างทางมอเตอร์เวย์ที่นั่งรถไปชมฟูจิซังนั้น ปาร์คหรือที่พักระหว่างทางก็มีขายขนมเบเกอรี่หน้าตาคล้ายๆ อย่างในรูป แต่ไม่มีรู และข้างในเต็มไปด้วยไส้คัสตาร์ด คือ เขาอินกับฟูจิซังมาก จนคิดอะไรทุกอย่างออกมาเป็นฟูจิ กรอบนอกนุ่มใน ไส้เพียบ อร่อยมาก
ขนมปังคัสตาร์ดฟูจิซัง
ขอบคุณภาพจาก https://bjtp.tokyo/fujisan-omiyage/


     คาดว่า ในอนาคตทั้งใกล้และไกล จะมีของที่ระลึก-ขนมใหม่ๆ เกี่ยวกับฟูจิออกมาได้อีกมากมายเพราะเค้าไม่หยุดคิด ไม่หยุดพัฒนา มันเป็นนิสัยของคนในชาตินี้ไปแล้ว...

     พอเห็นข้าวของ สรรพสิ่งของญี่ปุ่นมาแล้ว ทำให้เห็นลักษณะนิสัยรักการพัฒนาของคนในชาติเขา ทำให้เกิดแรงฮึดในการพัฒนาตัวเอง และสิ่งที่ต้องรับผิดชอบว่า เราต้องทำให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ควรพัฒนาตัวเอง อย่าไปหยุดยั้งหรือมักน้อย ด้วยคิดว่า ขอแค่นี้ก็พอแล้ว เพราะมีบางคนบอกไว้ว่า

“ในโลกของธุรกิจ ถ้าหยุดนิ่งไม่พัฒนา เท่ากับถอยหลัง
ถ้าไม่ทำให้ดีกว่าเขา ก็ต้องทำให้แตกต่าง”


-la paz-