แชร์ไปได้บุญ

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ทำไม...ต้องพระพุทธศาสนา?

ชีวิตผู้คน ณ ปัจจุบันนี้ มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตทุกด้าน  วิถีผู้คนดูจะมุ่งไปที่การได้ใช้ชีวิตกับการบริโภคความเพลิดเพลินหลากหลายรูปแบบ  ซึ่งทำให้ผู้คนห่างเหินจากการดำรงชีวิตอยู่ด้วยสัมปชัญญะบนความจริงของชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น

   นำไปสู่คำถามที่ว่า วันนี้สภาพผู้คนและสังคมที่เปลี่ยนไป พระพุทธศาสนาหรือพุทธธรรมยังคงมีความสำคัญต่อชีวิตต่อมนุษย์มากน้อยอย่างไร?

   ทีมงานได้โอกาสสนทนากับ พระอาจารย์จุมพล ปุญฺญพโล,  พระอาจารย์กรุณาพูดคุยถึงประเด็นดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้ค่ะ

    คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความสำคัญกับชีวิตของมนุษย์อย่างแน่นอน   เหมือนสิ่งอื่นๆ ที่มีความสำคัญกับชีวิตของเรา เช่น สรรพสิ่งในโลกนี้ดำรงชีวิตอยู่ได้ เพราะอาศัยพลังงานจากพระอาทิตย์ซึ่งเป็นพลังงานสำคัญ  เราขาดดวงอาทิตย์ไม่ได้

   ทุกสิ่งทุกอย่างมีความสำคัญในตัวของมันอยู่แล้ว  เพียงแต่เราต้องเข้าใจว่าสิ่งนั้นให้ประโยชน์กับเราอย่างไร มันอยู่ที่มุมมองของคนที่มีต่อสิ่งนั้นเห็นคุณค่า หรือ เห็นความสำคัญของสิ่งนั้นหรือไม่

   พระพุทธศาสนา  โดยจุดกำเนิดนั้น เป็นจุดที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในตัวอยู่แล้ว เพราะจุดตั้งต้นมาจากการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมองความจริงของชีวิตออกว่า ชีวิตทุกชีวิตเกิดมาพร้อมกับความทุกข์ แล้วพระองค์ก็หาวิธีแก้  คือดับ,  ดับ คือ มีอยู่ 100 แล้วทำให้หายไปกลายเป็นศูนย์ เหมือนไฟที่ดับด้วยน้ำ
     ด้วยจุดกำเนิดของพระพุทธศาสนาที่เริ่มจาก“ปัญหาความทุกข์อันเป็นพื้นฐานของชีวิตมนุษย์” 
พระพุทธศาสนาจึงมีความสำคัญกับชีวิตมนุษย์ เพราะสามารถตอบโจทย์ในชีวิตของมนุษย์ได้

    เพราะไม่ว่าเราจะเกิดในยุคไหนก็แล้วแต่อดีต ปัจจุบัน หรือ อนาคต ปัญหาทุกข์ทั้งหลายก็ยังคงติดตัวมนุษย์ไปอยู่ตลอดเวลา  

    เมื่อทุกคนมีความทุกข์  คำถามคือ "คุณอยากมีความสุขไหม?"

     เราอาจจะยังไม่สามารถดับทุกข์ให้หายไปเลยเหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทั้งหลายได้ทำได้แล้ว  แต่อย่างน้อยคือ ทุกข์ลดลง คุณต้องการไหม? ถ้าคุณต้องการ พระพุทธศาสนา คือ คำตอบ

แต่ ณ โลกปัจจุบัน หลายคนอาจเกิดข้อสงสัยว่า จริงหรือ ?  เพราะหลายคนก็คิดว่าทุกวันนี้ก็มีกินมีใช้...สบายดี แต่นั่นเป็นความสบายในแบบที่ยังมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่จะมาแก้ไขปัญญาของตัวเองจริงๆ

เพราะปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มองไม่ออกว่าชีวิตเป็นทุกข์อย่างไร  การที่จะมองให้เห็นถึงคุณค่าและความสำคัญ จึงน้อยลง หรือหลายคนเห็นแต่ก็อาจไม่เข้าใจและไม่รู้ว่า "หลักการและวิธีการที่ดีที่จะแก้ไขปัญหา" อยู่ตรงไหน?  ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องการการเรียนรู้
  ทำนองเดียวกันกับที่เราเรียนรู้ ความรู้ทักษะ ในการทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ โดยมีระบบการศึกษาช่วยให้เราได้รู้ว่า เราชอบเรียนอะไรสายไหน อยากเป็นอะไร และเพื่อให้ได้ทำงานที่เราชอบ เราจะต้องเรียนอะไร รู้อะไร คือเป็นความรู้ที่ช่วยให้คนเรามีความเข้าใจในชีวิตของตัวเองมากขึ้น

  เมื่อกล่าวถึงความทุกข์ในทางพระพุทธศาสนา หลายคนก็มักจะคิดถึงทุกข์ก้อนใหญ่ๆ จึงจะเรียกว่าทุกข์ เช่น ต้องเจ็บหนักเข้าโรงพยาบาล  หรือถ้าเป็นความตายก็ต้องใกล้หมดลมหายใจ  ส่วนใหญ่มักจะคิดว่าต้องระดับนี้จึงเรียกว่า ทุกข์  

    เมื่ออะไรที่มันไม่ใหญ่ระดับแขนขาหัก สูญเสียคนรักของรัก หรือนอนป่วยที่โรงพยาบาล ก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ใช่ทุกข์  และเข้าใจว่า ที่เป็นอยู่นั้นเป็นความสุขแล้ว  ทั้งนี้เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นแบบปุ๊ปปั๊ปๆเพลินบ้าง เพลียบ้าง สลับกลับไปกลับมา ผู้คนก็คิดว่าเป็นความสุข แต่มันไม่ใช่สุขจริงๆ

    ความทุกข์ ในนัยยะของพระพุทธศาสนา หมายถึง ตั้งแต่ระดับเล็กไปถึงระดับใหญ่  เช่น เรานั่งกับพื้นสัก 30 นาที เราก็เริ่มปวดขา เราก็ต้องเปลี่ยนท่า อาการปวดก็หายไป อีกสักพักอาการปวดเมื่อยก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาทีละนิดๆ อีก  กระทั่งเราทนไม่ไหว เราก็ต้องเปลี่ยนท่าอีก หรือเราหิว เราก็หาข้าว หาน้ำ หาอาหารกิน ได้กินอิ่มก็ดับทุกข์ไปชั่วคราว แต่เดี๋ยวก็หิวอีกแล้ว ก็ต้องหาอะไรกินอีกแล้ว และก็หิวกันตลอดชีวิตรักษาไม่หาย ต้องกินยาไปตลอดชีวิต คือ อาหารที่คนเรากินอยู่ทุกวัน  พระท่านจึงกล่าวว่าความหิวเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

  แต่เราจะมองออกว่าเป็นทุกข์ ก็เมื่อพบว่า มีอาการผิดปกติของร่างกาย เกิดโรคอันเนื่องมาจากอาหารที่กินเข้าไป  ถึงตรงนี้ต้องกินยา จริงๆ ก็เริ่มไม่มีความสุขกับการกินแล้ว  เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้คือ ความเป็นทุกข์

   ด้วยลักษณะดังกล่าว ก็มักจะเป็นเรื่องปกติที่เรามักจะเห็นว่า คนโดยทั่วไปเมื่อตอนที่สุขภาพแข็งแรง มีทรัพย์ สุขสบายดี จะไม่ค่อยใส่ใจเรื่องทำบุญทำกุศลหรือเข้าวัด ปฏิบัติธรรม แต่เมื่อคราวเจอมรสุมชีวิตไม่ว่าจะเป็นด้านใด ก็จะนึกถึงวัดนึกถึงพระพุทธเจ้า ก็ตอนนี้ 

  สิ่งนี้ทำให้เราได้เห็นว่า การที่ผู้คนจะเห็นความสำคัญและคุณค่าของพระพุทธศาสนานั้น  ก็ต่อเมื่อเขาถูกดันให้ไปถึงจุดที่เขาเห็นชัดด้วยตัวเองว่า... ชีวิตเขาทุกข์แล้วนะ… และสิ่งที่จะตอบโจทย์ช่วยเคลียร์ทุกข์ออกไปได้ในแต่ละระดับ จาก 100 ไป 0 กระทั่งถึงหมดทุกข์อย่างถาวรได้คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น คำตอบจึงชัดเจนและตรงไปตรงมาว่าพระพุทธศาสนาหรือพุทธธรรม มีคุณค่าในตัวเองในระดับที่สามารถเคลียร์ปัญหาในชีวิตให้กับมนุษย์ทั้งโลกได้  เพียงแค่ว่า ผู้คนจะตระหนักในระดับไหน? แต่บางครั้งหลายคนอาจคิดว่า อย่างอื่นก็ตอบโจทย์ได้  ?

   หากคิดอย่างนั้น นั่นแปลว่าการตีโจทย์ชีวิตยังเป็นการมองในระยะสั้นๆ เพราะการมองชีวิตในระดับที่รู้ว่า พุทธธรรมคือคำตอบนั้น เป็นการมองด้วยวิสัยทัศน์ที่ไกล ในระดับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า “สัมมาทิฏฐิ”  คือต้องมีความเข้าใจในเรื่องโลกและชีวิตถูกต้องตามความเป็นจริง

   ยกตัวอย่าง  คนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมทำบุญทำทาน  ซึ่งหลายคนอาจมองว่า มันเป็นเรื่องที่ไม่สนุกสนาน  ทำไมไม่ใช้เงินที่มีและเวลาในชีวิตกับการกินเที่ยว พักผ่อน ฯลฯ 

นั่นเพราะคนที่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติธรรมหรือการทำบุญ  เขามองออกว่า ชีวิตที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้  แม้อยู่ดีมีสุข แต่เป็นความสุขเพียงชั่วคราว เมื่อมองไปในอนาคตคือ มองไปในระดับภพชาติ มองต่อไปว่า หลังจากนี้เขาจะไปเจออะไร เพราะฉะนั้นเขาจะมองออกว่า ความสุข ทรัพย์ ที่เขามีอยู่ ณ ปัจจุบันนี้เป็นสิ่งชั่วคราว เป็นของเฉพาะหน้าเท่านั้น   แต่สิ่งที่กำลังไล่มากับเวลา หรือที่กำลังผลักเขาไปสู่ความตาย และผลักเขาไปสู่อะไรที่เขาไม่รู้ นั่นเป็นสิ่งที่ต้องคิดและเตรียมตัวให้พร้อม

นี้คือ โจทย์ที่ต้องแก้ และต้องแก้ให้ตลอดเส้นทาง  และคำตอบที่จะช่วยแก้โจทย์เมื่อศึกษาดูแล้วในโลก คำตอบนั้นมีอยู่ในพระพุทธศาสนา
... ... ...
เชื่อว่าหลายคนที่มีคำถามในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องใด วันนี้เราได้คำตอบชัดเจนแล้วว่า ทั้งหมดนั้นมีคำตอบในพุทธธรรม จากนี้ไป ขึ้นอยู่กับว่า เราจะคว้าเอาแสงสว่างนั้นมาส่องทางชีวิตของเราหรือไม่
 

กราบขอบพระคุณ : พระอาจารย์จุมพล ปุญฺญพโล
ขอบคุณภาพประกอบจาก : www.pixabay.com, http://updatetoday.in.th, http://www.kalyanamitra.org

 เรียบเรียงโดย OOJAO
www.winnews.tv

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น