แชร์ไปได้บุญ

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2561

โทษประหารชีวิต!!! มีความจำเป็นจริงๆ หรือ??


ประหารชีวิต! นักโทษคดีฆ่าชิงทรัพย์
เครดิตภาพจาก https://www.matichon.co.th/local/crime/news_1003984
  •   ข่าวหนึ่งที่ฮิตติดกระแสที่คนพูดถึงกันมากในช่วงนี้ คงไม่พ้นเรื่อง “โทษประหารชีวิต” ซึ่งมีผลต่อความรู้สึกนึกคิดของประชาชนมาก ถึงขนาดเป็นกระแสที่ทำให้ในทวิตเตอร์เอง มีแฮชแท็ก #ประหารชีวิต ติดอันดับหนึ่งในวันที่ 19 มิถุนายน 2561  เนื่องจากกรมราชทัณฑ์ ประหารชีวิตนักโทษ ในคดีฆ่าชิงทรัพย์นักเรียนชั้น ม.5 อย่างโหดร้ายทารุณ กลางสวนสาธารณะในจังหวัดตรัง ถือเป็นนักโทษที่ถูกฉีดยาพิษให้ตายคนแรก ในรอบ 9 ปีที่ผ่านมา 
#ประหารชีวิต ติดอันดับหนึ่งในทวิตเตอร์ไทย
  •   หนำซ้ำยังมีการเปิดรับโหวตว่า เห็นด้วยหรือไม่ที่สังคมไทยมีโทษประหารชีวิต? และที่น่าตกใจคือ คนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการมีโทษประหารชีวิต 

เปิดโหวต!! เห็นด้วยหรือไม่? สังคมไทยมีโทษประหารชีวิต
โทษประหารชีวิตในประเทศไทย

    พ.ศ.2478 จนถึงปัจจุบัน มีการบังคับใช้โทษประหารชีวิตมาแล้ว 325 ราย แบ่งออกเป็นใช้อาวุธปืน 319 ราย รายแรก คือ นักโทษชาย (สิบเอก) สวัสดิ์ มะหะหมัด คดีประทุษร้ายต่อพระบรมราชตระกูล (กบฏนายสิบ) ลงโทษด้วยการยิงด้วยอาวุธปืน (ยิงเป้า) เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ.2548 เวลาเที่ยงคืน ที่ป้อมจุลจอมเกล้า จังหวัดสมุทรปราการ
รายสุดท้ายที่ถูกยิงเป้า คือ นักโทษชายสุดใจ ชนะ ผู้ต้องขังคดียาเสพติด เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2546 ที่เรือนจำกลางบางขวาง จังหวัดนนทบุรี


  • ส่วนการประหารชีวิตด้วยสารพิษ ตามกฎหมายประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 ประกอบมาตรา 19 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และระเบียบกระทรวงยุติธรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการประหารชีวิตนักโทษ พ.ศ.2546 ซึ่งกำหนดให้ดำเนินการด้วยวิธีการฉีดยา หรือสารพิษให้ตาย
  • เริ่มครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2546 จนถึงวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2552 รวม 6 ราย
ที่มา : กรมราชทัณฑ์
  •   หมายเหตุ: ในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2561 จะครบ 9 ปี ของโทษประหารชีวิต (18 มิถุนายน พ.ศ.2561) 

การบังคับใช้โทษประหารชีวิตในไทย
  •   ประชาคมอาเซียน ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 10 ประเทศ กัมพูชา และฟิลิปปินส์ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิต สำหรับความผิดทางอาญาทุกประเภทแล้ว ส่วนบรูไน ลาว และเมียนมา ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติ ซึ่งหมายถึงการที่ยังคงไว้ซึ่งโทษประหารชีวิต แต่ได้ระงับการประหารชีวิตจริงเป็นระยะเวลา 10 ปีติดต่อกัน ส่วนประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงค์โปร์ และเวียดนามยังคงมีและใช้โทษประหารชีวิตอยู่


เปิดสถิตินักโทษประหารชีวิตล่าสุด 517 คน
  •      ข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์ ได้สรุปสถิตินักโทษประหารชีวิต ณ วันที่ 30 เมษายน พ.ศ.2561 ว่ามีทั้งหมด 517 คน ชาย 415 คน หญิง 102 คน แบ่งกลุ่มเป็นกลุ่มผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาอุทธรณ์ 287 คน ผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาฎีกา 30 คน และนักโทษเด็ดขาดเมื่อคดีถึงที่สุด 200 คน กรณีแบ่งเป็นประเภทความผิด 3 คดี คือ คดียาเสพติดให้โทษ อุทธรณ์ 189 คน ฎีกา 24 คน และเด็ดขาด 83 คน คดีความผิดทั่วไป อุทธรณ์ 95 คน ฎีกา 6 คน และเด็ดขาด 117 คน และคดีความมั่นคง อุทธรณ์ 3 คน ฎีกา และเด็ดขาดไม่มี
นักโทษประหาร 517 คน
เครดิตภาพจาก https://www.thairath.co.th/content/1312366
หลักการลงโทษด้านอาชญวิทยา
  •      ผศ. พ.ต.ท. ดร. กฤษณพงค์ พูตระกูล ประธานกรรมการสถาบันอาชญวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม วิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวกับบีบีซีไทยว่า การลงโทษในทางอาชญวิทยามีความคิดที่ต่างกัน 2 แบบ คือ การลงโทษเพื่อแก้แค้น อันเป็นการเยียวยาความรู้สึกของผู้เสียหายว่าได้รับความยุติธรรม ด้วยเหตุผลที่ว่า "เพราะคนที่ฆ่าเขาก็น่าจะต้องถูกฆ่าด้วย"
  •     ในขณะที่อีกเหตุผลหนึ่ง ก็คือ การลงโทษเพื่อแก้ไข ฟื้นฟู และ เยียวยา ซึ่งมีแนวคิดเบื้องหลังว่าคนประกอบอาชญากรรมมักเป็นคนยากจน ไร้การศึกษา ซึ่งไม่มีทางออกในชีวิต ซึ่งก็มีข้อมูลมากมายที่สนับสนุนแนวคิดเช่นนี้ และก็เป็นแนวคิดที่ใช้กันเรื่องการลงโทษที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
โทษประหารชีวิต ละเมิดสิทธิ์ หรือยุติอาชญากรรม
เครดิตภาพจาก https://news.thaipbs.or.th/content/272858
โทษประหารเป็นการลงโทษที่รุนแรงต่อชีวิต แต่ไม่มีผลรุนแรงต่อการลดจำนวนของอาชญากรรม
  •    ผศ. พ.ต.ท. ดร. กฤษณพงค์ ชี้ว่า มีข้อมูลในเชิงสถิติจากการศึกษามากมายว่า โทษประหารไม่ได้ทำให้อัตราการกระทำผิดในสังคมลดลง อีกทั้งหลายฝ่ายเห็นว่า การประหารชีวิตเป็นการละเมิดสิทธิพื้นฐาน คือ สิทธิความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง
  • ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลทางวิชาการสนับสนุนว่าการป้องกันอาชญากรรมที่มีประสิทธิภาพนั้นดีกว่า การลงโทษเพื่อแก้ไข ฟื้นฟู เยียวยา เพราะตอนนี้กรมราชทัณฑ์ก็ต้องดูแลนักโทษมากกว่าสามแสนคน คุกไทยนั้นแออัดอย่างมาก"
  •   นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า โทษประหารชีวิตไม่มีผลในการยับยั้งอาชญากรรมรุนแรง หรือทำให้สังคมปลอดภัย และสมควรมีการยกเลิกโทษประหารนั้น จากผลการวิจัยทั่วโลกระบุว่า การประหารชีวิตไม่ได้มีผลต่อการยับยั้งอาชญากรรมที่รุนแรง หรือทำให้สังคมปลอดภัยขึ้นได้ แต่ยังส่งผลกระทบที่เลวร้ายต่อสังคม กระบวนการยุติธรรมทางอาญาได้ เพราะย่อมมีความเสี่ยงที่จะตัดสินผิดพลาดได้ เนื่องจากไม่มีระบบใดที่จะสามารถตัดสินได้อย่างเป็นธรรม สม่ำเสมอโดยที่ไม่มีข้อบกพร่อง เพราะอาจมีแพะที่ถูกประหารชีวิตไปแล้วไม่สามารถเรียกชีวิตกลับคืนมาได้
  •    เมื่อพิจารณาตามหลักการลงโทษด้านอาชญวิทยาจะให้เห็นได้ว่า โทษประหารไม่ได้แก้ไขปัญหา คือ ควรใช้การแก้ไข ไม่ใช่แก้แค้น จากสถิติยืนยันว่า ประหารไปแล้ว 326 คน อาชญากรรมก็ไม่ได้ลดลงเลย และมีอีก 517 คน ที่กำลังรอโทษประหาร ให้ตายตกไปตามกัน 
เครดิตภาพจาก http://news.thaipbs.or.th/content/272904
  •  จากนั้นก็มีข่าวว่า พยานคนหนึ่งอ้างว่านักโทษที่ถูกศาลพิพากษาประหารชีวิต ไม่ใช่ผู้ก่อเหตุตัวจริง แค่ผ่านมาในจุดเกิดเหตุเท่านั้น
   ซึ่งกรณีนี้ ถ้าจริงก็เป็นการฆ่าผิดคน 

   คนทำความผิดจนต้องโทษประหารชีวิตหรือต้องโทษน้อยกว่านั้น เป็นเพราะไม่สามารถควบคุมใจ ควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ หรือไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ขาดกำลังใจในการทำความดี การแก้ปัญหาคนทำความผิดโดยใช้ความละมุนละม่อม และได้ผลที่ยั่งยืนถาวรกว่า คือ การพัฒนาศีลธรรมซึ่งอยู่ในใจของคน ด้วยหลักธรรมในพระพุทธศาสนา และการปลูกฝังศีลธรรมให้ทั้งเยาวชน จัดอบรมศีลธรรมให้กลุ่มบุคคลในวัยต่างๆ ควบคู่ไปกับการฝึกสมาธิภาวนา เพื่อให้จิตใจหนักแน่นมั่นคงในความดี ซึ่งมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด จึงเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน เป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ คือป้องกันการก่ออาชญากรรม ลดจำนวนผู้ต้องขัง ลดภาระของรัฐในการดูแลผู้ก่ออาชญากรรม และโทษประหารชีวิตก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เหมือนประเทศเนเธอร์แลนด์ที่คุกว่างไม่มีนักโทษ 
ไม่มีวิธีการใดที่จะทำให้มวลมนุษยชาติพ้นจากความทุกข์ทรมานของชีวิตได้ นอกจากพุทธวิธี
ที่มา :
https://www.thairath.co.th/content/1312366
https://www.bbc.com/thai/thailand-44534477
https://news.thaipbs.or.th/content/272858
http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/530479
https://www.posttoday.com/social/general/497512

http://news.thaipbs.or.th/content/272904
https://www.bbc.com/thai/international-37966697


วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2561

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเอาผู้ไม่รู้มาปฏิรูป!!?

    ก็ไม่อยากจะคิดมาก ว่าเป็นขบวนการหรือเป็นอะไร แต่ในฐานะของผู้ที่อยู่ต่างแดนแล้วมองกลับมาที่บ้านเรา ก็ยังงุนงงสงสัยอยู่ว่า ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวงการสงฆ์ทุกวันนี้มันเกิดจากอะไรกันแน่??
     เริ่มต้นตั้งแต่การบุกจับพระผู้ใหญ่ ทั้งที่ในกระบวนการดำเนินการต่าง ๆ ก็มีขั้นตอนตามกฎหมายอยู่แล้ว ท่านเป็นถึงพระผู้ใหญ่ไม่ใช่อาชญากรข้ามชาติที่ต้องใช้กำลังเข้าจู่โจมขนาดนั้น เพียงแค่ทำหนังสือนิมนต์ขอให้ท่านไปรับทราบข้อหาก็ได้แล้ว
ท่านแค่โดนกล่าวหา ยังไม่ได้ผิด อย่าเพิ่งจับสึก
         เท่านั้นยังไม่พอเมื่อเอาตัวไปแล้ว ก็ดำเนินการให้สึกเพื่อถอดจีวร โดยอาจจะคิดว่า ถ้าไม่ผิดก็มาบวชใหม่ได้ ถามจริงๆ เถอะ ไม่รู้หรือว่า สำหรับพระที่ตั้งใจบวชมาหลายสิบปี หากสึกแล้ว มาบวชใหม่นี่ต้องนับพรรษากันที่หนึ่งใหม่เลยนะ ที่สำคัญจะเป็นรอยด่างไปตลอดชีวิตด้วย  
ข่าวจับพระเถระสึก เข้าคุก 5 รูป
เครดิตภาพจาก https://www.thairath.co.th/content/1290797
         พลันที่มีเรื่องนี้ขึ้นมาก็มีกระแสพัดเข้ามาเชียวว่า จะให้มีการปฏิรูปสงฆ์ รวมทั้งเรื่องที่จะไม่ให้พระจับเงิน ซึ่งเรื่องจับเงินนี่ก็มีเรื่องที่ได้พูดคุยกันมามากแล้ว ก็คงหาข้อสรุปกันยาก หากไม่ได้มองกันที่หลักความจริงว่า ในสังคมปัจจุบันนั้นเป็นอย่างไร 
ลุงฮะ บวชแล้วค่อยมาปฏิรูป ก็ยังทันนะฮะ
    ประเด็นที่ผมอยากจะพูดวันนี้คือ ต้องบอกว่า ตกใจ ที่ได้มีโอกาสฟังรายการของคุณจอมขวัญซึ่งผมชื่นชอบรายการนี้เป็นการส่วนตัวว่า เขามีการดำเนินรายการที่ดี มีความเป็นกลาง จะไม่ตกใจได้อย่างไร ในเมื่อผู้ร่วมรายการท่านหนึ่ง คือ คุณไพบูลย์ ซึ่งมีบทบาทในเรื่องการอยากจะปฏิรูปวงการสงฆ์ ได้ออกมายอมรับเต็มปากเต็มคำว่า “ผมไม่เคยบวช”
ผมยอมรับว่า ไม่เคยบวชพระ เพราะผมตัดกิเลสไม่ได้
     ลองนึกง่าย ๆ ว่า หากคุณเป็นข้าราชการทหาร ตำรวจ แล้วเกิดมีใครสักคนซึ่งไม่เคยสัมผัสชีวิตของการเป็นทหาร ตำรวจมาก่อนเลย มาบอกว่า วงการสีเขียว สีกากี ไม่โปร่งใส ทำไมต้องมีงบลับ ควรทำอะไรให้เปิดเผย ไม่ควรมีเรื่องอิทธิพลของคนมีสี ว่าแล้ว ข้าพเจ้าก็ขอเข้ามาปฏิรูปวงการทหาร ตำรวจ ขอถามว่า ทหาร ตำรวจ ทั้งแผ่นดินจะยอมหรือไม่? 
หากมีคนที่ไม่เคยเป็นทหาร แต่บอกว่า อยากปฏิรูปวงการทหาร ถามว่าทหารจะรู้สึกอย่างไร?
     ในความเป็นจริงแล้ว การที่เราจะปรับปรุง เปลี่ยนแปลงอะไรก็ตาม เราก็ต้องมีความรู้จริง เข้าใจชีวิตของสิ่งนั้นอย่างถ่องแท้ การปรับปรุงแก้ไขต่างๆ จะได้เป็นไปอย่างถูกต้อง ได้ผลตามเจตนารมณ์ที่จะปกป้อง เชิดชูพระพุทธศาสนา 

     มิฉะนั้น แทนที่จะได้บุญกลับจะกลายเป็นบาป แทนที่จะปกป้องกลับจะกลายเป็นทำลาย โดยไม่ตั้งใจนะครับท่าน

-คนต่างแดน-

มาบวชกันสักนิด ก่อนคิดปฏิรูปสงฆ์

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2561

บวชพระ กับ บวชต้นไม้ ความหมายที่เหมือนกันในมุมมองที่แตกต่าง !!

    เมื่อสองสามอาทิตย์ที่แล้ว ไปงานศพที่วัดแห่งหนึ่ง เห็นมีจีวรพันต้นไม้อยู่ เลยทำให้นึกถึงประเพณีบวชต้นไม้ว่า เป็นมาอย่างไร ทำไมต้องบวช??
บวชต้นไม้ รักษาผืนป่า
เครดิตภาพจากhttp://bdkkec.blogspot.com/2018/04/blog-post.html
      “พิธีบวชต้นไม้” เป็นวิธีคิดและมีการปฏิบัติเช่นเดียวกับ “พิธีสืบชะตาแม่น้ำหรือคน” จุดประสงค์เพื่อต่ออายุให้ยืนยาวสืบไป 

     ส่วนที่มาของการ “บวชป่า” คือการห่มจีวรให้กับต้นไม้ เช่นเดียวกับการบวชพระ เป็นการยกสถานภาพของคนและต้นไม้ให้สูงขึ้นไป จัดว่าเป็นการนำความศรัทธาทางพุทธศาสนามาใช้ในการดูแลปกป้องป่าต้นน้ำ

     ขั้นตอนและวิธีการบวชต้นไม้  มีการทำพิธีเหมือนงานบุญทั่วไป โดยเจ้าของพิธีจะใช้สายสิญจน์ล้อมพื้นที่ที่จะบวชต้นไม้ จากนั้นจะนิมนต์พระสงฆ์มาสวดมนต์ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชาวบ้านและต้นไม้ที่จะทำพิธี แล้วเจ้าของพิธีจะนำจีวรที่เตรียมไว้ไปห่มต้นไม้ดังภาพ เป็นอันเสร็จพิธี
ต้นไม้ที่บวชแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเข้าไปทำลายได้
เครดิตภาพจากhttp://bdkkec.blogspot.com/2018/04/blog-post.html
     เชื่อกันว่า ผืนป่าที่ผ่านพิธีบวชแล้ว เป็นเสมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่สามารถเข้าไปทำลายได้ ทำให้ต้นไม้มีโอกาสเจริญเติบโต คงอยู่เพื่อคืนความชุ่มชื้นแก่ผืนดินได้เต็มที่ ทำให้ต้นน้ำฟื้นคืนชีวิตอีกครั้งหนึ่ง หากผู้ใดทำลาย ภัยอันตรายจะเกิดมีแก่ผู้นั้น!!

     จากเรื่องการบวชต้นไม้ ก็หวนมานึกถึงเรื่องราวของเจ้าหน้าที่รัฐและพระภิกษุสงฆ์ในยุคนี้ ที่แม้พระคุณเจ้าท่านโดนกล่าวหาในคดี “เงินทอนวัด” ก็เข้าไปจับกุมท่านแล้วก็จับสึก ทำให้ประชาชนข้องใจว่า ทำไมถึงทำกับพระกับเจ้า ผู้เลือกชีวิตของการบวช ไม่มีอาวุธ ไม่มีทางต่อสู้ได้ขนาดนี้ 
ข้อกล่าวหายังไม่ตัดสิน จะเรียกนักโทษประหารได้อย่างไร?
      ได้ไปคุยกับผู้มีความรู้ทางกฎหมายท่านหนึ่ง ท่านให้ความเห็นต่อ ข่าวไขข้อข้องใจ เหตุใด "พระเถระ" ที่ศาลไม่ให้ประกันตัวจึงต้องสึก ไว้ว่า 

  กรณีนี้อาศัยอำนาจตาม พรบ.สงฆ์ มาตรา 29 คือ พนักงานสอบสวนใช้อำนาจดำเนินการให้พระภิกษุสละสมณเพศ 

     สาเหตุที่บัญญัติ มาตรา 29 ก็ด้วยเจตนารมณ์ของกฎหมายที่จะปกป้องพระพุทธศาสนา คือ ไม่ต้องการให้มีภาพของพระภิกษุ (ครองจีวร) ถูกจองจำในห้องขัง และกฎหมายก็ได้ให้ทางเลือกไว้แล้ว คือ ให้เจ้าอาวาสนำไปควบคุมไว้ในวัดได้ (หากเป็นกรณีที่เจ้าอาวาสเป็นผู้ถูกดำเนินการ โดยหลักทั่วไปก็เท่ากับว่าเจ้าอาวาสรูปนั้นไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ก็ต้องมีการกำหนดให้พระในลำดับถัดๆ มา ทำหน้าที่เจ้าอาวาสแทนอยู่แล้ว)
ทำไมต้องรีบให้สึก ใส่กำไลเท้าฝากไว้ที่วัดอื่นก่อน จะดีไหม !
    สิ่งสำคัญในเรื่องนี้ต้องแยกให้ออกว่า ให้ถอดจีวร (เปลี่ยนชุด) กับ สละสมณเพศ (ให้สึก) มีความแตกต่างกัน / การบวช-การสึก เป็นสิทธิ์เฉพาะตนของแต่ละคน บังคับให้บวช หรือบังคับให้สึก ไม่ได้ / ผู้กระทำผิดตามที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ในปาราชิก 4 ไม่ต้องสละสมณเพศ เพราะขาดจากความเป็นพระทันทีที่ความผิดสำเร็จ พูดง่ายๆ คือ ไม่ต้องสึก ไม่ต้องลาสิกขา จากพระกลายเป็นคนธรรมดาทันที แม้จะครองจีวรอยู่ก็ตาม

     ดังนั้น ในกรณีนี้ เมื่อพระมหาเถระรูปใดไม่ได้กล่าวคำลาสิกขา ก็ต้องถือว่า แค่เปลี่ยนชุด เท่านั้น
การให้ท่านถอดจีวรออกแล้วนำไปขัง ปฏิบัติต่อท่านเหมือนผู้ต้องโทษทั่วไป นำไปสู่การที่สื่อต่างๆ ป่าวประกาศให้คนทั่วไปรับรู้ว่า ท่านไม่ได้เป็นพระแล้ว ไปจนถึงให้ข่าวกล่าวหาว่า ท่านลักทรัพย์/ เสพเมถุน (ปาราชิก) ทั้งๆที่ยังไม่สิ้นสุดกระบวนการยุติธรรม เป็นผลให้สังคมตัดสินว่าท่านขาดจากความเป็นพระ หลายคนหมดความเคารพ หลายคนใช้คำที่ไม่เหมาะสมกับท่าน เรียกขานท่านด้วยคำที่ทำร้ายความศรัทธาของชาวพุทธ และหลายคนโพนทะนาว่า พระผิดๆ พระโกงๆ อย่างนี้ถือว่าให้ความเป็นธรรมกับพระตามสมควรแล้วหรือ ??? 

เร็วไปหรือไม่ที่เราจะตัดสินว่า พระท่านเป็นผู้ร้ายตัวจริง?? 

ถ้าผลการตัดสินของศาลยุติธรรมปรากฏออกมาว่า พระไม่ผิด ใครจะรับผิดชอบ ??? 

ถึงเวลาหรือยังที่พระควรได้รับความคุ้มครอง ??? 

ถึงเวลาหรือยังที่การดำเนินคดีกับพระควรจะต้องใช้วิธีที่แตกต่างจากคนทั่วไป ???
เตือนสติชาวพุทธ ควรปฏิบัติกับพระให้เหมาะสม
    เพราะฉะนั้น การบวชเป็นการที่ตัวของพระเอง ตัดสินใจว่า จะให้ธรรมวินัยคุ้มครองตนเองภายในผ้าเหลือง ประพฤติตนตามคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่นเดียวกับประเพณีการบวชต้นไม้ที่นำผ้าเหลืองไปล้อมต้นไม้ไว้ เพื่อปกป้องไม่ให้คนทำร้าย ทำลาย แต่คนที่ไม่หวังดีต่อพระพุทธศาสนาเห็นผิดเป็นชอบ คิดว่า การสึกพระเป็นเรื่องที่ชอบด้วยกฎหมาย 

   ถ้าหากไม่ขอการละเว้นการตัดไม้ทำลายป่า ด้วยการบวชต้นไม้ ป่านฉะนี้ ไม้คงหมดป่าไปแล้ว ไม่มีป่า น้ำคงท่วมพอๆ กับน้ำตาของชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน เช่นเดียวกับการปฏิบัติต่อพระสงฆ์ด้วยจิตที่ไม่มีความเมตตา ขาดความเคารพในพระรัตนตรัย อาชญากรรมต่างๆ ในไทยจึงมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว เพราะขาดตัวอย่างของผู้ทรงศีล ทรงธรรม และผู้นำศีลธรรมไปสู่ใจประชาชน
เราเสียพระดีๆ ด้วยลูกไม้น้มาเยอะแล้ว
    เพื่อสนับสนุนว่า การสึกเป็นสิทธิ์เฉพาะตัว บังคับกันไม่ได้ มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6782/2543
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฯ มาตรา 29 

   การสละสมณเพศเพราะถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญามีได้ 3 กรณี (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่)

   ในคดีก่อนที่จำเลยถูกจับกุมในข้อหา มีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไว้ในครอบครอง พนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราว และพาจำเลยไปที่วัด บ. เพื่อให้จำเลยสึก แต่จำเลยไม่ยอมสึก และเจ้าอาวาสวัด บ. ก็ไม่ยอมสึกให้ พนักงานสอบสวนจึงพาจำเลยกลับไปที่สถานีตำรวจ และจัดให้จำเลยลาสิกขาบทต่อหน้าพระพุทธรูปที่อยู่บนสถานีตำรวจ ดังนี้ 

    จำเลยย่อมเข้าใจได้ว่า จำเลยยังไม่ขาดจากความเป็นพระภิกษุเนื่องจากจำเลยไม่สมัครใจลาสิกขาบทและการดำเนินการให้จำเลยสละสมณเพศกระทำโดยพลการของเจ้าพนักงานตำรวจ 

   เมื่อจำเลยแต่งกายเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เมื่อพ้นจากการคุมขังโดยได้รับการปล่อยชั่วคราวแล้ว ถือว่า จำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208

 (ประมวลกฎหมายอาญา ม.208: ผู้ใดแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวชในศาสนาใดโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)
วัดไม่มีเงินทอนตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน หยุดย่ำยีพระพุทธศาสนา
   หากพระไม่ผิด เจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการจับกุมอาจจะถูกพระหรืออดีตพระดำเนินคดีได้ตามมาตรา 157
(มาตรา 157  ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)

  หยุดความคิดร้ายๆ เสียทีเถอะ ก่อนที่เรื่องราวจะใหญ่โตไปกว่านี้ เพราะแรงบาปที่ได้ทำกับพระสงฆ์ 
ขอให้เราเป็นบุคคลหนึ่งที่ช่วยกันยอยกพระพุทธศาสนา เพื่อให้ศีลธรรมยังดำรงอยู่ ทำให้ใจคนคลายจากความมืดเพราะบาปอกุศล ดีกว่าจะเผลอไผลไปคิดทำลายทำร้ายเพราะความไม่รู้จริงเลย
ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกคน จะต้องออกมาปกป้องพระพุทธศาสนา ให้อยู่คู่บ้านคู่เมืองเพื่อลูกหลานสืบต่อไป

ที่มา :


วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เรื่องจริง!! ชีวิตของคนด่าพระ...เป็นอย่างไร??

    จิตใจผู้คนในสังคมไทยยุคปัจจุบัน ดูจะรุ่มร้อนมากขึ้น อาจเป็นเพราะสภาพอากาศที่ร้อนระอุ บรรยากาศร้อนแรงที่มีข่าวครึกโครมตามหน้าหนังสือพิมพ์ ทั้งเรื่องการเมือง การศาสนา เศรษฐกิจและสังคม น่าแปลกที่ว่า เมืองไทย ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน แต่ยังคงมีแค่บางคน บางกลุ่มเท่านั้นที่ได้น้อมนำเอาคำสอนในพระพุทธศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวันจนสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในใจตนและครอบครัวได้ 
สิ่งใด ไม่เดือดร้อนเขา ไม่เดือดร้อนเรา จงคิด จงพูด จงทำเถิด
    บรรยากาศของพุทธศาสนาเมืองไทยในวันนี้ ต่างจากวันวานค่อนข้างมาก นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้จิตใจของคนเร่าร้อน หาความสุขได้ยากขึ้น เพราะลืมไปว่ามีของดี คือ หลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เมื่อนำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง แม้เพียงอย่างเดียว ก็สามารถเข้าถึงความสุขได้ เช่น รักษาศีล 5, มีหิริโอตตัปปะ (ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป) ฯลฯ 

     คนที่ทำบาปอกุศล ก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า สิ่งที่ทำอยู่เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ ควรหรือไม่ เช่น หลายสำนักข่าว สร้างข่าวเรื่องพระสงฆ์องคเจ้ารายวัน สร้างความเสื่อมเสีย สั่นคลอนศรัทธาปสาธะของพุทธศาสนิกชน มีทั้งการใส่ร้ายพระให้มัวหมองว่า มั่วสีกาบ้าง ว่าเสพยาบ้าง ฉ้อโกงทรัพย์บ้าง เป็นที่น่าแปลกใจจนกระทั่งมีคำถามลอยมากลางอากาศว่า เป็น IO หยาบช้าของกลุ่มคนที่ไม่หวังดีต่อพุทธศาสนาหรือไม่ และคดียังไม่ฟ้อง ยังไม่ทันสอบพระท่านเลย ตัดสินว่า พระเป็นผู้ร้ายได้อย่างไร??
คดียังไม่ฟ้อง ยังไม่ทันสอบพระท่านเลย ตัดสินว่า พระเป็นผู้ร้ายได้อย่างไร??
    ในพระพุทธศาสนาของเรา มีพระสงฆ์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้สืบทอดพระศาสนา ด้วยการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธ ให้บรรดาพุทธศาสนิกชนได้นำไปปฏิบัติ เพื่อจะยึดเหนี่ยวจิตใจ และดำรงชีวิตอย่างสงบสุข

    พระสงฆ์ถือว่าเป็นผู้เผยแผ่พระศาสนา เป็นบุคคลสำคัญที่เราควรเคารพบูชาอย่างยิ่ง ไม่ควรลบหลู่ดูหมิ่น และไม่ควรด่าว่าพระสงฆ์องคเจ้า

ตัวอย่าง..กรรมของคนด่าพระ

   มีหญิงคนหนึ่งที่สร้างบาปกรรมทางวาจาเอาไว้แก่พระสงฆ์ อีกทั้งคนทั่วไปด้วย จนกระทั่งตัวเองต้องได้รับกรรมอย่างแสนสาหัส จนกระทั่งถึงกับชีวิตเลยทีเดียว 

เรื่องจริงที่เกิดขึ้น
   มีครอบครัวหนึ่ง  มีบ้านอยู่ใกล้กับวัดในอำเภอพระยาเม็งราย ในจังหวัดเชียงราย ครอบครัวของนางทอ (นามสมมติ) มี  4 คน มีสามี และลูกอีก 2 คน
 นางทอเป็นคนโมโหร้าย เวลามีใครทำอะไรที่ทำให้แกไม่พอใจ แกจะชอบด่าด้วยถ้อยคำหยาบๆ คายๆ แม้พระสงฆ์องคเจ้าก็ไม่ละเว้น มีอาชีพเดิมเสริมสวย เวลามีงานบวชก็จะแต่งหน้านาค ดูแล้วชีวิตน่าจะอยู่ในบุญกุศล แต่เสียอย่างเดียวชอบด่า ทั้งพระทั้งคน
คนที่ชอบด่า หรือใส่ร้ายผู้อื่น กรรมจะมาเร็วมาก
เครดิตภาพจาก  http://updatetoday.in.th
สามีขี้เหล้า ลูกมีปัญหา 
สามีขี้เมา ชอบลักขโมยของคนทั่วไป ทั้งของบ้าน ของวัด เจออะไรเป็นเอาหมด
นางทอไม่ค่อยสนใจทำบุญ มีปากเสียงกับสามีเป็นประจำ 
ลูกคนแรกเกิดมามีปัญหาทางสมอง ปัญญาอ่อน ลูกชายคนที่สอง พอโตขึ้นมาอยู่ระดับมัธยม ชอบด่าพ่อด่าแม่ ด่าพระสงฆ์องคเจ้า นิสัยเหมือนแม่ไม่มีผิดเลย 
ขนาดมีพระเดินผ่านหน้าบ้านทุกวัน แกและครอบครัวก็ไม่เคยใส่บาตรเลย
เด็กๆ ไม่จำในสิ่งที่คุณพยายามจะสอน แต่พวกเขาจำในสิ่งที่คุณเป็น
ชอบด่าจนเป็นนิสัย
เมื่อวันที่ 15 มกราคม ปีที่แล้ว 
มีลูกศิษย์วัดขอตะไคร้ที่บ้าน แกพูดว่า อย่าเอาเยอะนะ บังเอิญลูกศิษย์วัดเอาตะไคร้ไป 10 ต้น แกออกมาดู แกเกิดโมโหขึ้นมา
แกตะโกนด่าไม่ปรานีปราศรัย ลูกศิษย์พากันตกใจวิ่งหนีเข้าวัด แกเดินตามไปถึงหน้ากุฏิสงฆ์ พระเปิดประตูออกมาดู เห็นนางทอกำลังท้าวสะเอวด่าลูกศิษย์อยู่
พระท่านก็ถามว่า “โยมเป็นอะไรน่ะ มีอะไรกัน?”
“ฉันด่าลูกศิษย์แกนั่นแหละ ไอ้หัวโล้น” พอพระสงฆ์ได้ยินอย่างนั้น ไม่กล้าถามอะไรอีก ได้แต่นิ่งเฉย กลับเข้ากุฏิไป 

ผลกรรมตามทัน ชีวิตมีอุปสรรค
สามีเกิดอุบัติเหตุ ตัวเองเสียลูกนัยน์ตา ลูกชายตกน้ำ

    นางทอไม่รู้ว่าได้ทำบาปอะไรลงไป อยู่มาเหมือนกรรมมาถึงตัวแก สามีทำงานเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์ ทำตู้กับข้าวบ้าง เตียงนอนบ้าง ตอนที่กำลังผ่าไม้ให้เป็นซี่ มือของสามีถูกเลื่อยไฟฟ้าตัดนิ้วชี้ขาด 

     แต่ถึงกระนั้นนางทอก็ยังไม่หยุดนิสัยเดิมๆ ชาวบ้านแถวนั้นหรือแม้แต่พระ แกยังด่าว่าอยู่ไม่เลือกไม่เว้น แกทำอย่างนี้อยู่ได้ไม่นาน เหตุการณ์ร้ายๆ ก็เกิดขึ้นกับแก นางทอไปปลูกข้าวดำนา หญ้าที่คนอื่นพ่นยาพิษฆ่าปูนาในนา ยอดหญ้าแทงลูกตาของนางทอ คนที่เห็นเหตุการณ์พาไปรพ.จังหวัด ทำให้ตาของนางทอมองไม่ค่อยเห็น ต้องสวมแว่นตาตลอด
ลูกชายคนโตไปเล่นน้ำที่อ่างเก็บน้ำประจำหมู่บ้าน ตกน้ำ มีคนช่วยไว้ได้
ผู้ที่ไม่ระวังรักษาใจ ปล่อยให้ฟุ้งซ่าน จึงมีชีิวิตที่สับสนวุ่นวาย
เป็นอันตราย ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
    คุณประเทืองเป็นคนเล่าให้ฟัง บอกว่าเป็นเรื่องจริงจากประสบการณ์ สอบถามบ้านใกล้เรือนเคียงที่อยู่บ้านใกล้นางทอก็พูดแบบเดียวกัน บอกว่าเหตุการณ์นี้เป็นเพราะกรรมที่ไปด่าพระด่าเจ้า ทำให้วิถีการดำรงชีวิตของแกไม่ราบรื่นเลย เวรกรรมที่แกไม่เคยเคารพบูชาพระภิกษุสงฆ์ เอาแต่ด่าว่าต่างๆ นาๆ ก็ทำให้ตัวเองต้องลำบากอย่างนี้

คลิกที่นี่ : เรื่องเล่าอาจารย์ยอด / คนด่าพระ

   นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างผลกรรมเล็กๆ การด่าพระสงฆ์เท่านั้น แค่คิดและด่า ยังให้ผลมากมายปานนี้ หากลงมือกระทำกรรมชั่วกับท่านแล้ว ผลกรรมจะมีมากมายหลายเท่าเพียงใด ยากจะคิด ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในทัณฑวรรควรรณนา เรื่องพระมหาโมคคัลลานเถระ มมก. เล่ม 42 หน้า 101 ว่า
     
" ผู้ใด ประทุษร้ายในท่านผู้ไม่ประทุษร้ายทั้งหลาย ผู้ไม่มีอาชญา ด้วยอาชญา ย่อมถึงฐานะ 10 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งพลันทีเดียว คือ 
ถึงเวทนากล้า 1 
ความเสื่อมทรัพย์ 1 
ความสลายแห่งสรีระ 1
อาพาธหนัก 1 
ความฟุ้งซ่านแห่งจิต 1 
ความขัดข้องแต่พระราชา 1 
การถูกกล่าวตู่อย่างร้ายแรง 1 
ความย่อยยับแห่งเครือญาติ 1 
ความเสียหายแห่งโภคะทั้งหลาย 1 
อีกอย่างหนึ่ง ไฟป่าย่อมไหม้เรือนของเขา,     
ผู้นั้นมีปัญญาทราม เพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงนรก."

    บางอย่าง ไม่ต้องไปท้าพิสูจน์โดยเอาชีวิตของเราเข้าไปเสี่ยงหรอก มันไม่คุ้ม!!!
ปาปานิ กมฺมานิ กโรนฺติ โมหา.
คนมักทำบาปกรรมเพราะความหลง
    ที่มา
: พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย เล่มที่ 42 หน้า 101
: กฏแห่งกรรมและเรื่องเล่าชาวบ้าน โดยอาจารย์ยอด