แชร์ไปได้บุญ

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2561

จะทำอย่างไร เมื่อทรัพย์สินถูกอายัด?

สุขที่ใจวันนี้ อยากจะมาให้ความรู้ ความเข้าใจถึงขั้นตอนการอายัด เหตุผล และผลที่เกิดจากการอายัด เมื่ออ่านแล้ว จะเข้าใจกระบวนอายัดของ ปปง. ซึ่งทำให้เราหายสงสัย และไม่วิตกจนเกินไป 

นอกจากนี้ก็ยังเป็นความรู้ทางกฎหมาย ที่รู้ไว้ใช่ว่า...  เราก็จะได้เป็นผู้ที่รอบ รู้กว้าง ประเทืองปัญญาอีกโสตหนึ่ง 



ขอบคุณภาพจาก
http://www.lokwannee.com/web2013/?p=251424
การอายัดทรัพย์สินของคณะกรรมการธุรกรรม ปปง. (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน)

คณะกรรมการธุรกรรม ปปง. มีอำนาจอายัดทรัพย์สินได้ตาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน มาตรา 34 (3) และ มาตรา 48 วรรค 1: “ในการตรวจสอบรายงานและข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรม หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า อาจมีการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินใดที่เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ให้คณะกรรมการธุรกรรมมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นไว้ชั่วคราว มีกำหนดไม่เกินเก้าสิบวัน


เหตุผลของการอายัด คือ คณะกรรมการธุรกรรม ปปง. มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าอาจมีการขาย โอน ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินนั้น ถ้าไม่อายัดทรัพย์สินนั้นไว้ หากศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน สำนักงาน ปปง. อาจไม่สามารถติดตามทรัพย์สินนั้นกลับคืนมาได้


กรณีที่จะอายัดทรัพย์สินได้ จะต้องมีเหตุดังนี้


1. ทรัพย์สินนั้น เป็นทรัพย์สินที่ต้องสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน


2. มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า จะมีการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินนั้น


ผลที่เกิดขึ้นจากการอายัดทรัพย์สิน


1. เจ้าของทรัพย์สินไม่สามารถขาย หรือโอน หรือโยกย้ายทรัพย์สินนั้นได้


2. ดอกผลที่เกิดขึ้นระหว่างเวลาที่อายัดทรัพย์สิน ก็ถูกอายัดด้วยเช่นกัน


3. กรรมสิทธิ์ยังคงเป็นของเจ้าของทรัพย์สินนั้น


คำถาม : 
เจ้าของทรัพย์สินจะทำอย่างไรได้บ้าง ?


คำตอบ :

1. ขอให้มีการเพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สินนั้น ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งหรือทราบคำสั่ง

2. ขอใช้ทรัพย์สินนั้นในระหว่างที่ถูกอายัด


คำถาม : เจ้าหน้าที่จะนำทรัพย์สินนั้นไปขายทอดตลาดได้หรือไม่ ?


คำตอบ คือ ไม่ได้ เพราะจะต้องมี “คำพิพากษา หรือคำสั่งศาลถึงที่สุด” ให้ยึดทรัพย์สินนั้นก่อน


คำพิพากษา หรือคำสั่งศาลถึงที่สุด หมายถึง คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลในประเด็นแห่งคดีที่ฟ้องต่อศาล ซึ่งเป็นคำตัดสินสุดท้าย ไม่มีผู้ใดร้องเรียนได้ ตัวอย่างเช่น คำพิพากษาของศาลฎีกา, คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ที่คู่ความฝ่ายโจทก์และหรือฝ่ายจำเลยไม่มีการยื่นฎีกา หรือไม่ยื่นฎีกาภายในเวลาที่กำหนด, คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่คู่ความฝ่ายโจทก์และหรือฝ่ายจำเลยไม่มีการยื่นอุทธรณ์ หรือไม่ยื่นอุทธรณ์ภายในเวลาที่กำหนด


คำถาม : เจ้าหน้าที่จะให้ผู้อื่นมาใช้ทรัพย์สินนั้นได้หรือไม่ ?


คำตอบ คือ ไม่ได้ เนื่องจากผลของการอายัด จำกัดสิทธิ์เจ้าของทรัพย์สินไม่ให้ขาย โอน ยักย้ายทรัพย์สินนั้น แต่ไม่กระทบต่อกรรมสิทธิ์ของเจ้าของทรัพย์สิน


ข้อสังเกต : ทรัพย์สินที่ถูกอายัด ยังถือไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด (ฐานฟอกเงิน) เพียงแต่ต้องสงสัยว่า อาจเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ในขณะอายัดทรัพย์สินศาลยังไม่มีคำสั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน และหากกระบวนการยุติธรรมได้ดำเนินไปจนถึงที่สุดแล้ว ปรากฏว่า “เจ้าของทรัพย์สินไม่ได้กระทำความผิด” และ หรือ “ทรัพย์สินนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด” คำสั่งอายัดทรัพย์สินดังกล่าวก็ต้องถูกเพิกถอนไป


เมื่อกระบวนการยุติธรรมยังดำเนินไปไม่ถึงที่สุด กล่าวคือ ยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลถึงที่สุดว่า “ผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยกระทำความผิด” ต้องถือว่า “ผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์” 


ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดหากทรัพย์สินถูกอายัด และทุกอย่างยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม เราควรจะอดทน ข่มใจ และรออย่างใจเย็น ให้ผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องช่วยจัดการและดำเนินการต่อไปจนกว่าความจริงจะปรากฏ แม้ทรัพย์สินนั้นเราจะมีส่วนในการเป็นเจ้าของก็ตาม 

ทุกสถานการณ์ ทำใจให้เป็นกลางๆ
จะทำให้เรามองเห็นได้ชัดขึ้น


ใจคนเรา คิดได้ทีละเรื่อง
ถ้าไม่คิดเรื่องนี้ ก็ไปคิดเรื่องโน้น
ให้ใจเราคิดในเรื่องที่ทำให้ใจมีความสุขดีกว่า

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2561

พิบัติภัย แก้ได้ด้วยวิธีง่ายๆ ที่คุณนึกไม่ถึง!!

ขอบคุณภาพจาก https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_1656307
     คุณเป็นคนหนึ่งใช่ไหม ที่สังเกตถึงความเคลื่อนไหวของโลกใบนี้ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างสูงมาก ทั้งในเรื่องของผู้นำประเทศมหาอำนาจ เศรษฐกิจ การเมือง และแม้กระทั่งภัยพิบัติร้ายแรงที่ทยอยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

     ประเทศญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในประเทศที่มักประสบภัย ถ้านับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
ภาพจาก: https://www.google.co.th/search
18 มิถุนายน แผ่นดินไหวที่โอซาก้า
กรกฎาคม น้ำท่วมภาคตะวันตก เนื่องจากฝนที่ตกหนักผิดปกติ

ในเดือนเดียวกัน ญี่ปุ่นประสบคลื่นความร้อนใกล้เมืองโตเกียว

4 กันยายน ไต้ฝุ่นเชบี

6 กันยายน แผ่นดินไหวฮอกไกโด

ในปีนี้ ประเทศอื่นๆ ก็ประสบภัยพิบัติความหนักหนาสาหัสมีไม่แพ้กัน 

พายุไต้ฝุ่นเซินตินห์ ถล่มเวียดนาม

พายุฝุ่นถล่มอินเดีย

ภูเขาไฟระเบิดที่ฮาวาย

ไฟป่าอาละวาด ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ

น้ำท่วม อินเดีย

เขื่อนแตก อัตตะปือ ลาว

น้ำท่วมที่พม่า

แผ่นดินไหวเกาะลอมบอก อินโดฯ

 และเร็วๆ นี้ก็เป็นพายุซุปเปอร์ไต้ฝุ่นมังคุดที่ฮ่องกง

 พร้อมๆ กับเฮอริเคนฟลอเรนซ์ที่นอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา  

และสึนามิที่ชายฝั่งเกาะสุลาเวสี อินโดนีเซีย
ขอบคุณ facebook บีบีซีไทย

โลกเป็นอะไร? 

สาเหตุที่เกิดภัยพิบัติอย่างนี้ เพราะอะไร?

ความหมายของ ภัยพิบัติ
คำว่า ภัยพิบัติ (อ่านว่า ไพ-พิ-บัด) ประกอบด้วยคำว่า ภัย หมายถึง สิ่งที่ทำให้กลัว หรืออันตราย กับ คำว่า พิบัติ หมายถึง ความฉิบหาย หรือหายนะ ภัยพิบัติ หมายถึง อันตรายที่นำไปสู่หายนะ หรือหายนะที่เป็นอันตราย มีทั้งที่เกิดจากภัยธรรมชาติและเกิดจากการกระทำของมนุษย์ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว พายุไซโคลน ภูเขาไฟระเบิด เป็นภัยธรรมชาติที่ทำให้เกิดภัยพิบัติ เครื่องบินตก เรือล่ม รถไฟตกราง สงคราม เป็นภัยพิบัติที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ 

บ้างก็ว่า เกิดจากภาวะโลกร้อน 
ขอบคุณภาพจาก : http://www.setsocialimpact.com/Article/Detail/60861
ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จาก อุณหภูมิ ของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้ มาจาก ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gases) เนื่องจากการกระทำของมนุษย์ สารพิษที่เกิดจากการผลิตเครื่องใช้ไม้สอย และกระทั่งผลิตขีปนาวุธเพื่อทำลายล้างกัน
ขีปนาวุธ ภาพจากhttps://th.wikipedia.org/wiki/

ที่จริงแล้ว สิ่งที่เป็นตัวกำหนดความเป็นไปของโลก อยู่ที่ใจของคน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า

     "มโน ปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา
มนสา เจ ปทุฏฺเฐน ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ ทุกฺขมนฺเวติ จกฺกํ วหโต ปทํ

    ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นประธาน 
มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จด้วยใจ 
ถ้าบุคคลมีใจร้าย จะพูดก็ตาม จะกระทำก็ตาม 
ทุกข์ย่อมตามเขาไป เหมือนล้อหมุนไปตามรอยเท้าโคตัวลากเกวียน ฉะนั้น"
  ขุ.ธ. มมร.เล่ม 40 หน้า 34 

ถึงเวลาแล้ว!!! ที่เราจะต้องชักชวนกันทำความดี เพื่อลดความร้อนของโลกใบนี้ ความร้อนที่เกิดจากกิเลส ความโลภ โกรธ หลง ที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน 

    เพราะสภาวะของใจ และคำพูดมีพลังงานแห่งจิตวิญญาณ และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ผลึกน้ำ+เสียงสวดมนต์ (Water Crstal And Positive Feeling)


กระแสดีๆ ที่เกิดจากใจที่คิดบวก ใจที่มีความบริสุทธิ์ มีความสุข จะส่งผลเชิงบวกให้กับโลกใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชักชวนบุคคลที่เรารัก และรู้จักมาทำความดีร่วมกัน 

ความดีง่ายๆ ที่นิยมทำในช่วงนี้คือ การสวดมนต์ โดยเฉพาะการสวดบท “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” อานิสงส์สวด "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" ไม่เคยขาดเลยแม้วันเดียว

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
ภัยต่างๆ ที่จะเข้ามาใกล้ ก็จะมลายหายสูญไป หนักจะเป็นเบา เบาก็จะหาย ที่ร้ายก็จะกลายเป็นดี
ขอเพียงเริ่มต้นจากการฝึกใจให้หยุดนิ่ง ผ่องใส ด้วยการสวดมนต์ด้วยกัน

เมื่อจะแก้ไขสิ่งที่ยากที่สุด ท่านผู้รู้แนะว่า ให้ใช้สิ่งที่ง่ายที่สุด นุ่มนวลที่สุด 

ภัยพิบัติเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมมีความรุนแรง ก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวง แต่เราสามารถแก้ปัญหาความรุนแรงเหล่านี้ ด้วยการยกใจของเราและชาวโลกให้สูงส่งขึ้น ให้อยู่ในครรลองคลองธรรม มีความเคารพพระรัตนตรัย หมั่นทำทาน รักษาศีล ๕ และสวดมนต์ ทำภาวนาทุกวัน

เพราะโลก อยู่ที่ตัวเรา

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2561

อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย!!

     เคยเป็นกันไหม เวลาทำอะไรผิดพลาด ก็มักจะผิดซ้ำๆ แม้ตั้งใจจะทำให้ถูกต้อง แต่ก็ยังพบว่า ผิดอีก..จนได้
ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
     ว่าไปแล้ว ในชีวิตของเราเองก็เหมือนกัน เหตุการณ์ หรือการตัดสินใจอะไรบางอย่างในชีวิต ก็มักจะเจอในลักษณะที่ว่า “ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย”

     อันที่จริง เกิดจากนิสัยของเราที่ทำซ้ำๆ มาจนเราชิน ชินจนชา เมื่อทำแล้วไม่รู้สึกฝืน แม้จะเป็นการทำผิดแต่ก็ไม่ค่อยมีสำนึกผิดในใจ คิดว่า มันเป็นเรื่องปกติ แถมหาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเองสารพัด เช่น ใครเขาก็ทำกันทั้งนั้น เรายังไม่เป็นพระอรหันต์ ฯลฯ ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อมในโลก ว่ากันไป
นิสัยเกิดจากการคิด-พูด-ทำ ซ้ำๆ 
      ตัวอย่างการทำซ้ำในสิ่งที่ดีๆ เช่น ถ้าเรารักการตักบาตร ก็อาจเป็นเพราะเราถูกครอบครัวปลูกฝังกิจกรรมนี้มาตั้งแต่เล็กๆ หรือเห็นผลดีในการตักบาตร เราก็เลยมีแรงจูงใจที่จะทำให้ต่อเนื่อง เรียกว่า หาโอกาสตักบาตรให้บ่อยครั้งที่สุด เห็นพระสงฆ์เดินมาก็ต้องรีบดูแล้วว่า จะเอาอะไรไปใส่บาตรดี

     บางคนชอบนอนตื่นสาย หรือ ทำอะไรก็ “สายเสมอ” ก็เป็นไปได้ที่อาจจะเติบโตมาแบบที่ไม่ต้องเร่งร้อนอะไร ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาก แต่กระนั้น ก็ส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างในสังคม
อย่าทำร้ายผู้ตรงต่อเวลา ด้วยการมาสาย
https://twitter.com/kaguyagi/status/1037928116079882240?s=21

     เห็นมีข่าวการฆ่าตัวตายของดารานักแสดงบ้าง นักร้อง นักธุรกิจ นักศึกษา ฯลฯ อยู่เนืองๆ ทำให้นึกถึงคำพระที่ท่านเคยเทศน์สอนไว้ว่า การฆ่าตัวตายเป็นบาปอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าไปฆ่าผู้อื่นเสียอีก 
ขอบคุณภาพข่าวจาก https://lifestyle.campus-star.com/entertainment/96478.html
     ซ้ำร้ายกว่านั้นคือ จะเป็นผังที่จะติดตัวไปข้ามภพข้ามชาติ คือ ฆ่าตัวตายชาตินี้ ชาติต่อๆ ไปก็จะต้องไปฆ่าตัวตายอีก เพราะเป็นนิสัยที่ฝังติดตัวไป เกิดมาใหม่ นิสัยท้อแท้ ท้อถอย น้อยความหวัง ก็จะติดไป ทำให้เมื่อเจอเหตุการณ์อะไรในชีวิต ทางออกที่ทำไว้แล้วในชาตินี้ ก็จะเป็นระบบอัตโนมัติที่จะทำให้คิด พูด ทำแบบเดิมอีก
ฆ่าตัวตายเป็นบาป
     สาเหตุที่ทำให้คนคิดอยากฆ่าตัวตายมีอย่างน้อย 6 อย่าง คือ ภาวะซึมเศร้า, ป่วยจากโรคจิตเภท คือมีอาการประสาทหลอน, เป็นผลข้างเคียงมาจาการใช้สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์, ต้องการความช่วยเหลือจากปัญหาที่ตัวเองมีอยู่ แต่ไม่รู้จักวิธีร้องขอ, มีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่า ตัวเองสมควรตาย เพราะเข้าใจว่า ตัวเองเป็นเจ้าของชีวิตของตัวเอง, ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
คุณอาจปฏิเสธการกระทำของคุณได้
แต่คุณไม่สามารถปฏิเสธผลจากการกระทำของคุณ
     คิดสั้น คือ คิดไม่ยาว แปลว่า ไม่คิดให้รอบคอบ ให้ตรงไปตามความเป็นจริง
     มองให้รอบ คือ มองทั้งผลดี ผลเสีย ทั้งต่อตัวเอง ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน สังคม ประเทศ โลก ฯลฯ 
ชีวิตจะสุขหรือทุกข์ ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง
     สิ่งที่คนเรามักลืมกันไปคือ.. 
     ร่างกายของเรา ได้มาจากคุณพ่อคุณแม่ ร่างกายนี้มีไว้ใช้สร้างความดีทุกรูปแบบ เมื่อทำความดี ผลดีไม่ได้เกิดเฉพาะตัวเอง แต่มีผล กิตติศัพท์ กิตติคุณ ไปถึงผู้ให้กำเนิดเรามา เช่นเดียวกับการทำความชั่ว

     และชาตินี้ที่ทำไม่ดี เช่น ตัดสินใจฆ่าตัวตาย ก็เป็นผลพลอยร้ายมาจากชาติที่แล้วๆ ที่มักมีนิสัยแบบนี้ คิด พูด ทำแบบนี้ ถ้าไม่ยกใจตัวเองให้สูง ไม่ได้คบบัณฑิตนักปราชญ์ ได้ฝึกฝนตัวเองจนทำให้มีนิสัยที่ดี ก็พาลจะมีนิสัยคิดสั้นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ 

     ใครที่เคยคิดสั้น หรือกำลังคิด ก็ขอให้ตระหนักไว้ว่า เป็นสิ่งที่เราคงเคยคิด หรือเคยทำมาแล้ว ดังนั้น หยุดคิด และหันไปดูและตัวเอง และครอบครัวให้มากขึ้นจะดีกว่า อย่าปล่อยให้ฟุ้งซ่าน และเอาความคิดมาทำร้ายตัวเราเอง 
อุปสรรคและความพ่ายแพ้ ไม่เคยทำให้นักสู้ยอมแพ้
     ปรับปรุงความคิด คำพูด การกระทำของเรา อย่าปล่อยให้ “ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย” ในเรื่องที่ไม่ดีเลย  

     ทุกปัญหามีทางแก้  เมื่อเราพบทางตัน ..ใช่ว่าจะไม่มีทางออก  
คน..มีศักยภาพมากกว่าที่คิด แต่ที่ทำไม่ได้ เพราะ..ปิดกั้นความคิดตัวเอง

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

วิเคราะห์ทีมหมูป่า ทำไมต้องบวช?!?

12 ทีมหมูป่าบวชแล้ว
เครดิตภาพจาก https://www.siamturakij.com/news
     เรื่องที่ท้อปฮิตติดตลาดกันยาวนาน คือ ชีวิตของน้องหมูป่าทั้ง 13 คนที่ตั้งแต่รู้กันว่า ติดอยู่ในถ้ำ น้ำหลากออกมาไม่ได้ จนกระทั่งทั่วโลกระดมสรรพกำลังมาช่วยเหลือ ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และในที่สุดก็ได้พบน้องๆ ยังมีชีวิตอยู่ และทยอยพาออกมาจนครบ 
เครดิตภาพจาก https://www.innnews.co.th/features/all-in-thailand/news_133460/
     การที่ทุกคนไม่ตื่นกลัว และยังมีชีวิตอยู่ได้ เพราะโค้ชเอก พี่ใหญ่ในทีมเคยได้บวชเรียน และสอนให้น้องๆ หมูป่าที่เหลือทำสมาธิ เพื่อลดการใช้พลังงาน สงบจิตใจไม่ให้หวาดกลัว ซึ่งช่วยได้จริงๆ 
เครดิตภาพจาก https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_1303298
     ระหว่างนั้น ก็มีข่าวที่น่าสลด คือ จ่าแซม อดีตหน่วยซีล ดำน้ำเข้าไปเพื่อช่วย แต่เนื่องจากในถ้ำมีออกซิเจนน้อย เป็นเหตุให้จ่าแซมหมดสติ และเสียชีวิตในที่สุด นับเป็นวีรบุรุษผู้กล้า ที่เสียสละตัวเองอย่างมาก และมีหลายหน่วยงาน ให้กำลังใจครอบครัวของจ่าแซม ด้วยการมอบปัจจัยสนับสนุนให้ แม้อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ก็เห็นคุณความดีของจ่าแซมอย่างยิ่ง ด้วยการสร้างอนุสาวรีย์จ่าแซมให้ด้วยงบประมาณ 10 ล้านบาท
เครดิตภาพจาก https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_1307195
     เมื่อน้องๆ หมูป่าออกมาได้แล้ว ได้รับการดูแล รักษาจากโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์อยู่เป็นสัปดาห์ กระทั่งแข็งแรงดีแล้ว ได้กลับบ้านพบญาติพี่น้อง 
เครดิตภาพจาก https://www.thairath.co.th/content/1332527
     และเมื่อทุกคนได้รู้ว่า จ่าแซมเสียชีวิตตอนดำน้ำเข้าไปเพื่อช่วยเหลือ ก็มีความรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก จากที่เคยคิดว่า เมื่อรอดชีวิตออกจากถ้ำมาได้ จะบวชเพื่อสะเดาะเคราะห์ ความรู้สึกสำหรับการบวชในตอนนี้ กลับเพิ่มความเข้มข้นขึ้น เพื่ออุทิศส่วนกุศล เป็นการตอบแทนคุณงามความดีของจ่าแซมผู้เสียสละ และชำระความรู้สึกผิดในใจได้อีกโสตหนึ่ง พ่อแม่น้ำตาคลอ!12หมูป่าบวชแล้ว ‘เมียจ่าแซม-หมอภาคย์’ ถือผ้าไตร ร่วมอนุโมทนา
เครดิตภาพจาก https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_1374498
    ทำไมการบวชจึงมีความสำคัญเช่นนี้ เพราะ..
1. การบวชเป็นการสละตนเองจากเพศฆราวาส เพื่อก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัย คือเป็นพระสงฆ์ เป็นเพศภาวะที่ควรแก่การกราบไหว้บูชา 
ผลของความเป็นสมณะ หรือสามัญญผล ในเบื้องต้น มี 2 ประการคือ
1. การยกสถานภาพของตนให้สูงขึ้นจากฐานะเดิม ผู้ออกบวชไม่ว่าจะมาจากชนชั้นวรรณะใดก็ตาม เมื่อตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรม ย่อมได้รับการเคารพ กราบไหว้ คุ้มครองจากฆราวาสทุกระดับชั้น
2. มีสิทธิ์ได้รับการบำรุงด้วยปัจจัย 4 จากฆราวาสทุกระดับชั้นโดยชอบธรรม (พระภาวนาวิริยคุณ, 2540)

ผู้บวชจะได้รับการยกฐานะจากคนธรรมดา ขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัย
2. การบวชเป็นการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา พูดให้เข้าใจง่ายคือ ผู้บวชเป็นอายุพระพุทธศาสนา เพราะได้ศึกษาคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้นำคำสอนนั้นมาปฏิบัติ และเผยแผ่ธรรมะไปสู่หมู่ญาติและชาวโลก พระศาสนาก็ธำรงอยู่ได้
การบวชช่วยสืบต่ออายุของพระพุทธศาสนา
3. การบวชเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ จากคนปกติที่รักษาศีล 5 เมื่อบวชเป็นสามเณรมีศีล 10 และถ้าบวชพระ มีศีลถึง 227 ข้อ เพราะการบวชเป็นการแก้ไขนิสัยเอาแต่ใจของตัวเอง และฝึกการใช้ปัจจัย 4 ก่อให้เกิดนิสัยที่ดี 
การบวชทำให้มีโอกาสได้ศึกษาธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
       การได้ฝึกตนแบบเข้มข้นอย่างนี้ มีผลต่อการยกระดับจิตใจ ให้ก้าวไปสู่ความเป็นพุทธะ เป็นทางที่จะทำให้หลุดพ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารได้จริง เพราะเมื่อปฏิบัติธรรมทำภาวนาจนใจหยุดนิ่งถูกส่วนแล้ว จะเกิดความสว่างขึ้นมาในใจ เห็นดวงธรรมใสๆ ที่เรียกว่า เป็นเอกายนมรรค ต้นทางแห่งการไปสู่พระนิพพาน เกิดเป็นบุญมหาศาล เรียกว่า มหัคคตกุศล ท่านว่าได้บุญมากกว่าการสร้างโบสถ์สร้างศาลาเป็นร้อยหลังทีเดียว
เครดิตภาพจาก https://www.thairath.co.th/content/1342187
เครดิตภาพจาก https://www.thairath.co.th/content/1342187 
     เพราะฉะนั้น ในการบวชของทีมหมูป่าอะคาเดมีครั้งนี้  นอกจากคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองจะได้บุญใหญ่กับพระและสามเณรลูกชายแล้ว การบวชเป็นการสร้างบุญอุทิศแก่ผู้ล่วงลับได้ จิตจ่าแซมก่อนละโลกน่าจะผูกอยู่กับทีมหมูป่า ถ้าระหว่างบวชปฏิบัติธรรมให้กำลังจิตเข้มแข็ง บุญกุศลที่ตั้งใจอุทิศให้จ่าแซมย่อมมีกำลังมากขึ้นไปตามสภาวะใจ นั่นคือ บุญส่งตรงไปจากใจถึงใจได้นั่นเอง และแก้กรรมของตัวเองได้อีกด้วย

    แล้วเราล่ะ รอช้าอยู่ไย?? หาโอกาสมาบวชเป็นพระและสามเณรกันเถอะ
ตัดสินใจบวชตั้งแต่วันนี้
ที่มา : 
หนังสือพระแท
การบวช มีความสำคัญอย่างไรต่อชีวิตของ ชาวพุทธ?

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

"กำลังใจและพลังใจ ปัจจัยรอด 13 ชีวิตทีมหมูป่า”

โด่งดังกันไปทั่วโลก หลังจากเกิดเหตุนักฟุตบอลเยาวชน 12 คน และโค้ช รวม 13 ชีวิต ติดในถ้ำขุนน้ำนางนอนอยู่หลายวัน เนื่องจากฝนตกทำให้น้ำหลากปิดทางเข้าถ้ำ จึงเกิดความร่วมมือร่วมใจกันของทุกภาคส่วน ทั้งไทยและต่างประเทศ ด้วยหวังว่า จะสามารถช่วยเหลือทั้ง 13 ชีวิตให้ออกจากถ้ำได้

ผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์ที่ไม่ทราบว่า โค้ชและเด็กๆ อยู่จุดไหนแน่ เห็นแต่ร่องรอยจักรยาน รองเท้า ลายนิ้วมือของน้องๆ 
“หน่วยซีล” ดำน้ำลุยเข้าถึงจุด “พัทยาบีช” ในห้องโถงใหญ่ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ยังไม่พบเงานักฟุตบอลและโค้ชทีม “หมูป่าอะคาเดมีแม่สาย” ทั้ง 13 ชีวิต 
เครดิตภาพจาก https://www.thairath.co.th/content/1318809
ท่ามกลางความมืดมนกับการค้นหาอย่างเข้มข้นนั้น เรื่องหนึ่งที่สำคัญต่อความรู้สึกนึกคิดของประชาชน คงไม่พ้นเรื่องครูบาบุญชุ่ม ที่ท่านได้มาทำพิธีและสวดมนต์ เจริญเมตตา และกล่าวว่า อีก 2 วันจะพบเด็กๆที่ติดอยู่ภายในถ้ำ 'ครูบาบุญชุ่ม' พูดชัด 'ไม่มีอะไร วันสองวันได้เห็น 13 ชีวิตอยู่ทุกคน'
เครดิตภาพจาก https://www.thairath.co.th/content/1322459
และเป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อนักดำน้ำชาวอังกฤษได้พบน้องๆ อยู่ไม่ไกลจากหาดพัทยาในถ้ำนางนอน ครูบาบุญชุ่มจึงเป็นเสมือนประทีปส่องนำทางจิตใจทุกคนตั้งแต่พ่อแม่ญาติพี่น้อง เจ้าหน้าที่ และทีมงานค้นหา เพิ่มพูนกำลังใจ และความหวังที่จะพบทีมหมู่ป่า
ครูบาบุญชุ่มผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีวาจาเป็นสัจจะ
สิ่งที่ท่านพูด เป็นความจริงเสมอ
และที่น่าอัศจรรย์ใจไปมากกว่านั้นคือ เมื่อนักดำน้ำได้พบ13 หมู่ป่าอะคาเดมี  น้องๆ ไม่ได้มีความตระหนกตกใจ กลับมีอาการสงบ นิ่ง และที่สำคัญ ยังมีชีวิตอยู่!!! แม้จะติดอยู่ภายในถ้ำเป็นเวลาถึง 9 วัน มาถึงจุดนี้ ทุกคนพุ่งเป้าไปที่โค้ชเอก ผู้เป็นพี่ใหญ่สุดในทีมนี้ เพราะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้น้องๆ มีชีวิตรอด และรออยู่ด้วยความสงบได้
สำหรับเคล็ดลับที่ทำให้น้องๆทุกคน ดำรงชีวิตได้ภายในถ้ำมืด ไม่มีอาหาร อาศัยดื่มน้ำฝนที่ไหลลงจากหินงอกหินย้อยภายในถ้ำ แต่ทุกคนสามารถอยู่ได้ในถ้ำที่อากาศเย็นและมีออกซิเจนน้อยได้ ส่วนสำคัญมาจากการฝึกสมาธิตามที่โค้ชเอกได้แนะนำ ตามประวัติโค้ชเอกเคยบวชเรียนสมัยเป็นสามเณรมาถึง 8 พรรษา  จากเหตุการณ์นี้ทำให้คนทั่วโลกเห็นความสำคัญของสมาธิ จนมีข้อความในไลน์ส่งต่อๆ กันมาว่า 

เครดิตภาพจาก https://pantip.com/topic/37830168

วันนี้ คนค่อนโลกหันมาสนใจ "สมาธิ"
พรุ่งนี้ คนค่อนโลกจะรู้จักสมาธิ
มะรืนนี้ คนค่อนโลกจะพบความสุขจากการทำสมาธิ
วันถัดๆไป คนค่อนโลกจะรู้จักบุญที่เกิดจากการทำสมาธิ
แล้ววันใหม่ในอนาคต คนค่อนโลกจะรักสามัคคีกัน แบ่งปันน้ำใจ ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน
อนาคต เมื่อคนค่อนโลกได้พบกับความสุขภายในที่อยู่ในใจตนแล้ว
คนค่อนโลกจะมีเมตตาธรรม ไม่ทำร้ายและไม่เบียดเบียนกัน

ต้นเหตุที่คนทำร้ายเบียดเบียนกัน ถ้าพิจารณาด้วยสติปัญญาให้ถี่ถ้วน
จะพบว่าแท้จริงแล้วมิใช่อื่นใดเลย มีสาเหตุมาจากสิ่งเดียวเท่านั้น
คือ เพราะการแย่งชิงความสุขกัน

คนที่พบความสุขภายในใจตนเองแล้ว จะไม่ไปวิ่งเอาเปรียบ หรือเบียดเบียนใครต่อใคร
มีแต่อยากอนุเคราะห์โลกนี้ ให้พบกับความสุขภายในด้วยกันทั้งมวลมนุษยชาติ

การได้บวชเป็นพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนาและได้ฝึกสมาธิอย่างครูบาบุญชุ่ม และโค้ชเอก มีนัยสำคัญระดับการดำรงชีวิตได้อย่างแท้จริง คือระดับที่ทำให้พบกับความสุขภายใน สุขที่เกิดจากสมาธิ และจริงๆ แล้ว การบวชมีผลต่อการฝึกสมาธิอย่างไร 
การฝึกสมาธิ หรือฝึกใจให้หยุดนิ่งนี้ ไม่ใช่เรื่องล้าสมัย ไม่ได้ผูกขาดเฉพาะนักบวช
พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เมื่อได้บวชเข้ามาก็เป็นดั่งบุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสามารถตรัสรู้ด้วยพระองค์เองได้ ก็เพราะความเป็น “อรหันต์” ของพระองค์ เนื่องจากอำนาจสมาธิทำให้จิตของพระองค์สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากอาสวะทั้งปวง ซึ่งนอกจากจะใสสว่างแล้ว ยังหยุดนิ่ง จึงมีสิ่งที่ผุดขึ้นในนิ่ง ทำให้รู้ พระองค์ก็ทรงรู้ไปตามนั้น ทำนองเดียวกับน้ำในโอ่งที่นอนนิ่งสนิท ใสบริสุทธิ์แล้ว แม้มีเข็มอยู่ก้นโอ่งก็สามารถมองเห็นได้

พระองค์ทรงเป็นผู้ที่สมบูรณ์ด้วยวิชชา 8 ประการ อันทำให้ทรงรู้เห็นความเป็นไปของสรรพสิ่งอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง จึงทรงกำจัดความมืดมนได้อย่างสิ้นเชิง

วิชชา 8 ประกอบด้วย
1) วิปัสสนาญาณ คือ ญาณที่ทำให้เข้าใจสังขารตามความเป็นจริง
2) มโนมยิทธิ คือ ฤทธิ์ทางใจ
3) อิทธิวิธี คือ แสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ 
4) ทิพพโสต คือ หูทิพย์
5) เจโตปริยญาณ คือ ญาณที่ทำให้กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้
6) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้ 
7) ทิพพจักขุ คือ ตาทิพย์
8) อาสวักขยญาณ คือ ญาณที่ทำให้กิเลสอาสวะหมดสิ้น (พระภาวนาวิริยคุณ, 2540)

ในกรณีของพระเกจิอาจารย์ทั้งหลายผู้ทรงคุณธรรม คุณวิเศษ รวมถึงพระครูบาบุญชุ่มจึงไม่ใช่เรื่องที่เหลือวิสัย แต่เป็นเรื่องที่อยู่ในวิสัยของผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ตามอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 
เช่น มีหลายท่านกล่าวถึงความอัศจรรย์ที่พระครูบาบุญชุ่มสามารถรู้วาระจิตของตนและคนรอบข้างได้ 
ครูบาบุญชุ่ม พูดอย่างไรเป็นอย่างน้ัน
คนลองของเจอดี เปิดประวัติ พระครูบาบุญชุ่ม หยั่งรู้วาระจิต กษัตริย์จิกมี ราชวงศ์นับถือ 

มดดำ เผยเรื่องประหลาด ครูบาบุญชุ่ม หยั่งรู้จิต เผยมาถึงที่บ้าน 

การที่เราชื่นชมท่านเหล่านั้นว่า มีคุณธรรมความดีต่างๆ นับว่าเป็นความดียิ่ง จะดีแค่ไหนหากเราได้ลองมาบวชและฝึกฝนสมาธิด้วยตัวของเราเอง โดยใช้ช่วงเวลาที่จะปลอดจากความกังวลในเรื่องต่างๆ ชั่วคราว ด้วยการบวช เพื่อให้มีผลที่ก้าวหน้าของสมาธิจิต
ผู้บวชสามารถยกตนให้พ้นจากกองกิเลส บรรลุธรรที่ละเอียดลุ่มลึกไปตามลำดับ
มีมรรคผลนิพพานเป็นแก่นสาร เป็นที่สุด
ช่วงนี้ใกล้เทศกาลเข้าพรรษาแล้ว ขอเรียนเชิญชายไทยอายุ 20 ปีขึ้นไป บวชเข้าพรรษา เพื่อทดแทนคุณบิดามารดา ได้โอกาสในการฝึกปฏิบัติสมาธิ และเข้าถึงความสุขภายในที่แท้จริงที่ทุกคนแสวงหา
ครั้งหนึ่งในชีวิตลูกผู้ชาย 1 พรรษา บวชแทนคุณบิดามารดา
บางสิ่งที่แสวงหา
ที่มา : 
พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทตฺตชีโว). (2540). พระแท้. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: ศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์.
https://www.thairath.co.th/content/1318809
https://www.thairath.co.th/content/1322459
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_1324464

https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_1331327

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2561

โทษประหารชีวิต!!! มีความจำเป็นจริงๆ หรือ??


ประหารชีวิต! นักโทษคดีฆ่าชิงทรัพย์
เครดิตภาพจาก https://www.matichon.co.th/local/crime/news_1003984
  •   ข่าวหนึ่งที่ฮิตติดกระแสที่คนพูดถึงกันมากในช่วงนี้ คงไม่พ้นเรื่อง “โทษประหารชีวิต” ซึ่งมีผลต่อความรู้สึกนึกคิดของประชาชนมาก ถึงขนาดเป็นกระแสที่ทำให้ในทวิตเตอร์เอง มีแฮชแท็ก #ประหารชีวิต ติดอันดับหนึ่งในวันที่ 19 มิถุนายน 2561  เนื่องจากกรมราชทัณฑ์ ประหารชีวิตนักโทษ ในคดีฆ่าชิงทรัพย์นักเรียนชั้น ม.5 อย่างโหดร้ายทารุณ กลางสวนสาธารณะในจังหวัดตรัง ถือเป็นนักโทษที่ถูกฉีดยาพิษให้ตายคนแรก ในรอบ 9 ปีที่ผ่านมา 
#ประหารชีวิต ติดอันดับหนึ่งในทวิตเตอร์ไทย
  •   หนำซ้ำยังมีการเปิดรับโหวตว่า เห็นด้วยหรือไม่ที่สังคมไทยมีโทษประหารชีวิต? และที่น่าตกใจคือ คนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการมีโทษประหารชีวิต 

เปิดโหวต!! เห็นด้วยหรือไม่? สังคมไทยมีโทษประหารชีวิต
โทษประหารชีวิตในประเทศไทย

    พ.ศ.2478 จนถึงปัจจุบัน มีการบังคับใช้โทษประหารชีวิตมาแล้ว 325 ราย แบ่งออกเป็นใช้อาวุธปืน 319 ราย รายแรก คือ นักโทษชาย (สิบเอก) สวัสดิ์ มะหะหมัด คดีประทุษร้ายต่อพระบรมราชตระกูล (กบฏนายสิบ) ลงโทษด้วยการยิงด้วยอาวุธปืน (ยิงเป้า) เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ.2548 เวลาเที่ยงคืน ที่ป้อมจุลจอมเกล้า จังหวัดสมุทรปราการ
รายสุดท้ายที่ถูกยิงเป้า คือ นักโทษชายสุดใจ ชนะ ผู้ต้องขังคดียาเสพติด เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2546 ที่เรือนจำกลางบางขวาง จังหวัดนนทบุรี


  • ส่วนการประหารชีวิตด้วยสารพิษ ตามกฎหมายประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 ประกอบมาตรา 19 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และระเบียบกระทรวงยุติธรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการประหารชีวิตนักโทษ พ.ศ.2546 ซึ่งกำหนดให้ดำเนินการด้วยวิธีการฉีดยา หรือสารพิษให้ตาย
  • เริ่มครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2546 จนถึงวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2552 รวม 6 ราย
ที่มา : กรมราชทัณฑ์
  •   หมายเหตุ: ในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2561 จะครบ 9 ปี ของโทษประหารชีวิต (18 มิถุนายน พ.ศ.2561) 

การบังคับใช้โทษประหารชีวิตในไทย
  •   ประชาคมอาเซียน ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 10 ประเทศ กัมพูชา และฟิลิปปินส์ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิต สำหรับความผิดทางอาญาทุกประเภทแล้ว ส่วนบรูไน ลาว และเมียนมา ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติ ซึ่งหมายถึงการที่ยังคงไว้ซึ่งโทษประหารชีวิต แต่ได้ระงับการประหารชีวิตจริงเป็นระยะเวลา 10 ปีติดต่อกัน ส่วนประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงค์โปร์ และเวียดนามยังคงมีและใช้โทษประหารชีวิตอยู่


เปิดสถิตินักโทษประหารชีวิตล่าสุด 517 คน
  •      ข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์ ได้สรุปสถิตินักโทษประหารชีวิต ณ วันที่ 30 เมษายน พ.ศ.2561 ว่ามีทั้งหมด 517 คน ชาย 415 คน หญิง 102 คน แบ่งกลุ่มเป็นกลุ่มผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาอุทธรณ์ 287 คน ผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาฎีกา 30 คน และนักโทษเด็ดขาดเมื่อคดีถึงที่สุด 200 คน กรณีแบ่งเป็นประเภทความผิด 3 คดี คือ คดียาเสพติดให้โทษ อุทธรณ์ 189 คน ฎีกา 24 คน และเด็ดขาด 83 คน คดีความผิดทั่วไป อุทธรณ์ 95 คน ฎีกา 6 คน และเด็ดขาด 117 คน และคดีความมั่นคง อุทธรณ์ 3 คน ฎีกา และเด็ดขาดไม่มี
นักโทษประหาร 517 คน
เครดิตภาพจาก https://www.thairath.co.th/content/1312366
หลักการลงโทษด้านอาชญวิทยา
  •      ผศ. พ.ต.ท. ดร. กฤษณพงค์ พูตระกูล ประธานกรรมการสถาบันอาชญวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม วิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวกับบีบีซีไทยว่า การลงโทษในทางอาชญวิทยามีความคิดที่ต่างกัน 2 แบบ คือ การลงโทษเพื่อแก้แค้น อันเป็นการเยียวยาความรู้สึกของผู้เสียหายว่าได้รับความยุติธรรม ด้วยเหตุผลที่ว่า "เพราะคนที่ฆ่าเขาก็น่าจะต้องถูกฆ่าด้วย"
  •     ในขณะที่อีกเหตุผลหนึ่ง ก็คือ การลงโทษเพื่อแก้ไข ฟื้นฟู และ เยียวยา ซึ่งมีแนวคิดเบื้องหลังว่าคนประกอบอาชญากรรมมักเป็นคนยากจน ไร้การศึกษา ซึ่งไม่มีทางออกในชีวิต ซึ่งก็มีข้อมูลมากมายที่สนับสนุนแนวคิดเช่นนี้ และก็เป็นแนวคิดที่ใช้กันเรื่องการลงโทษที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
โทษประหารชีวิต ละเมิดสิทธิ์ หรือยุติอาชญากรรม
เครดิตภาพจาก https://news.thaipbs.or.th/content/272858
โทษประหารเป็นการลงโทษที่รุนแรงต่อชีวิต แต่ไม่มีผลรุนแรงต่อการลดจำนวนของอาชญากรรม
  •    ผศ. พ.ต.ท. ดร. กฤษณพงค์ ชี้ว่า มีข้อมูลในเชิงสถิติจากการศึกษามากมายว่า โทษประหารไม่ได้ทำให้อัตราการกระทำผิดในสังคมลดลง อีกทั้งหลายฝ่ายเห็นว่า การประหารชีวิตเป็นการละเมิดสิทธิพื้นฐาน คือ สิทธิความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง
  • ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลทางวิชาการสนับสนุนว่าการป้องกันอาชญากรรมที่มีประสิทธิภาพนั้นดีกว่า การลงโทษเพื่อแก้ไข ฟื้นฟู เยียวยา เพราะตอนนี้กรมราชทัณฑ์ก็ต้องดูแลนักโทษมากกว่าสามแสนคน คุกไทยนั้นแออัดอย่างมาก"
  •   นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า โทษประหารชีวิตไม่มีผลในการยับยั้งอาชญากรรมรุนแรง หรือทำให้สังคมปลอดภัย และสมควรมีการยกเลิกโทษประหารนั้น จากผลการวิจัยทั่วโลกระบุว่า การประหารชีวิตไม่ได้มีผลต่อการยับยั้งอาชญากรรมที่รุนแรง หรือทำให้สังคมปลอดภัยขึ้นได้ แต่ยังส่งผลกระทบที่เลวร้ายต่อสังคม กระบวนการยุติธรรมทางอาญาได้ เพราะย่อมมีความเสี่ยงที่จะตัดสินผิดพลาดได้ เนื่องจากไม่มีระบบใดที่จะสามารถตัดสินได้อย่างเป็นธรรม สม่ำเสมอโดยที่ไม่มีข้อบกพร่อง เพราะอาจมีแพะที่ถูกประหารชีวิตไปแล้วไม่สามารถเรียกชีวิตกลับคืนมาได้
  •    เมื่อพิจารณาตามหลักการลงโทษด้านอาชญวิทยาจะให้เห็นได้ว่า โทษประหารไม่ได้แก้ไขปัญหา คือ ควรใช้การแก้ไข ไม่ใช่แก้แค้น จากสถิติยืนยันว่า ประหารไปแล้ว 326 คน อาชญากรรมก็ไม่ได้ลดลงเลย และมีอีก 517 คน ที่กำลังรอโทษประหาร ให้ตายตกไปตามกัน 
เครดิตภาพจาก http://news.thaipbs.or.th/content/272904
  •  จากนั้นก็มีข่าวว่า พยานคนหนึ่งอ้างว่านักโทษที่ถูกศาลพิพากษาประหารชีวิต ไม่ใช่ผู้ก่อเหตุตัวจริง แค่ผ่านมาในจุดเกิดเหตุเท่านั้น
   ซึ่งกรณีนี้ ถ้าจริงก็เป็นการฆ่าผิดคน 

   คนทำความผิดจนต้องโทษประหารชีวิตหรือต้องโทษน้อยกว่านั้น เป็นเพราะไม่สามารถควบคุมใจ ควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ หรือไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ขาดกำลังใจในการทำความดี การแก้ปัญหาคนทำความผิดโดยใช้ความละมุนละม่อม และได้ผลที่ยั่งยืนถาวรกว่า คือ การพัฒนาศีลธรรมซึ่งอยู่ในใจของคน ด้วยหลักธรรมในพระพุทธศาสนา และการปลูกฝังศีลธรรมให้ทั้งเยาวชน จัดอบรมศีลธรรมให้กลุ่มบุคคลในวัยต่างๆ ควบคู่ไปกับการฝึกสมาธิภาวนา เพื่อให้จิตใจหนักแน่นมั่นคงในความดี ซึ่งมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด จึงเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน เป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ คือป้องกันการก่ออาชญากรรม ลดจำนวนผู้ต้องขัง ลดภาระของรัฐในการดูแลผู้ก่ออาชญากรรม และโทษประหารชีวิตก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เหมือนประเทศเนเธอร์แลนด์ที่คุกว่างไม่มีนักโทษ 
ไม่มีวิธีการใดที่จะทำให้มวลมนุษยชาติพ้นจากความทุกข์ทรมานของชีวิตได้ นอกจากพุทธวิธี
ที่มา :
https://www.thairath.co.th/content/1312366
https://www.bbc.com/thai/thailand-44534477
https://news.thaipbs.or.th/content/272858
http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/530479
https://www.posttoday.com/social/general/497512

http://news.thaipbs.or.th/content/272904
https://www.bbc.com/thai/international-37966697